เร่งสปีดให้ธุรกิจ เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม ด้วย TikTok SEO

เร่งสปีดให้ธุรกิจ เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม ด้วย TikTok SEO

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักแอปพลิเคชัน TikTok ที่มาแรงแซงโค้งจนหยุดไม่อยู่ เพราะสามารถที่จะแย่งพื้นที่ Air Time จาก Youtube ได้ แม้จะยังไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้ Youtube ปรับตัวและหันมาออก Feature Shorts เพื่อช่วงชิงพื้นที่คลิปวีดีโอสั้นกลับคืนมา ซึ่งทาง Facebook ก็พยายามดึงพื้นที่หน้าสื่อกลับคืนไปด้วย Feature Reels ด้วยเช่นกัน 

ทำไมต้องทำ SEO บน Tiktok

ก่อนที่จะสงสัยว่าทำไมต้องไปทำ SEO บน Tiktok ลองหันมาดูเกี่ยวกับสถิติของ Tiktok ในประเทศไทยเสียก่อนว่าเกิดปรากฏการณ์ Tiktok Fever แค่ไหน

  • จำนวน Account Tiktok ในประเทศไทย ล่าสุดในปี 2022 มีจำนวนทั้งสิ้น 21,747,973 Account (ข้อมูลจาก THEB2HOUSE)  
  • ในปี 2022 ที่ผ่านมา คน Gen Y 25% จากการทำแบบสอบถามระบุว่า ใช้งาน Tiktok ประมาณ 1-2 ชั่วโมง/วัน และมีเพียง 30% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้เวลาเพียง 30 นาที/วัน 
  • มี Account ที่เป็นผู้หญิงมากกว่า Account ผู้ใช้  

จะเห็นว่าภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีในช่วงการแพร่ระบาดของ covid-19 หลังการเปิดตัวของแอปพลิเคชัน Tiktok Account Tiktok มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมถึงทั่วทั้งโลก แล้วแบบนี้ธุรกิจของคุณจะไม่หันมาทำ SEO บน Tiktok ได้อย่างไร

แนะนำวิธีการในทำ SEO บน Tiktok 

  1. สร้าง hashtag เพื่อการค้นหา 

ปัจจุบันการติด hashtag ให้กับสินค้า, ร้านค้าหรือเหตุการณ์สำคัญ ๆ มักจะช่วยให้ผู้คนค้นหาได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะใส่ hashtag ที่แอปพลิเคชันใด Search Engine จะค้นหาและนำมาเสนอให้เสมอ โดยเฉพาะ hashtag เฉพาะกลุ่ม หรือต้องการเจาะจงไปในตัวสินค้าหรือการแก้ไขปัญหาเป็นต้น

  1. พาออกนอก Tiktok

แม้จะดูเป็นการไม่เหมาะสม แต่ช่วงเวลาในการนำเสนอบน Tiktok อาจสั้นจนไม่สามารถบรรยายถึงสินค้าได้อย่างครบถ้วน ควรทำการสร้างลิงก์เพื่อดึง User ออกไปยังเว็บไซต์ของธุรกิจหรือเว็บหน้ารายละเอียดและข้อมูลของสินค้าเพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจสั่งซื้อได้ง่ายขึ้น หลังจากที่ดูการรีวิวสินค้าหรือคอนเทนต์ที่นำเสนอ 

  1. สร้างวีดีโอให้ User มีส่วนร่วม 

มากกว่า 90% ที่คนเข้ามาใช้งาน Tiktok มักจะเข้ามาหาความบันเทิง ด้วยระยะเวลาเพียง 60วินาที ควรกระตุ้นด้วยคำคมหรือคำถามเพื่อให้คนสงสัยและคล้อยตามหรือการเลือกใช้เพลงยอดนิยมมาประกอบกับวีดีโอที่ทำ พร้อมติด Hashtag ลงไปในคลิปวีดีโอด้วย เพื่อที่คนจะได้มีส่วนร่วมและจดจำเพลงที่ใช้ประกอบได้ 

  1. กระตุ้นให้ User กลับมาที่ช่องและติดตาม

แม้ว่า User จะเข้าใช้งานและเลื่อนผ่าน หากต้องการที่จะกลับมาหาช่อง บางครั้งอาจหาไม่เจอแล้ว ดังนั้น การทำ SEO ผ่าน Google ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้ User ได้เห็นและคุ้นตากับสิ่งที่ตนเองเลื่อนผ่านและต้องการกลับมาที่เพจหรือเว็บไซต์ของธุรกิจได้ 

คาดว่าในอนาคตอันใกล้ User จะมีผู้ใช้งาน Tiktok เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก หากไม่อยากให้ธุรกิจของคุณตกเทรน หรือต้องการเริ่มสร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จักภายในระยะเวลาอันสั้น Tiktok เป็นหนึ่งในช่องทางการสร้างตัวตนได้เร็วและดีที่สุดช่องทางหนึ่ง แต่อย่าลืมที่จะทำ SEO ด้วยทุกครั้งที่มีการอัพโหลดคลิปวีดีโอ รับรองได้เลยปัง แน่นอน 

On – page SEO คืออะไร เว็บไซต์ของคุณมีครบแล้วหรือไม่

เช็กลิสต์! On – page SEO คืออะไร เว็บไซต์ของคุณมีครบแล้วหรือไม่

ใครเป็นนักการตลาดออนไลน์น่าจะคุ้นเคยกับคำว่า On – page เป็นอย่างดี เพราะนี่คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ประสบความสำเร็จ เว็บไซต์ของคุณจะก้าวสู่หน้าแรกการค้นหาอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดย On – page SEO คือปัจจัยภายในที่ท่านเจ้าของเว็บไซต์ออกแบบได้ เพื่อเป็นบันไดขั้นหนึ่งในการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา Search Engine ซึ่งการทำ On – page มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ท่านเจ้าของเว็บไซต์ต้องเช็กลิสต์ว่ามีครบแล้วหรือไม่

เช็กลิสต์องค์ประกอบการทำ On – page SEO ที่ควรมีให้ครบ

– คอนเทนต์สดใหม่ มีคุณภาพ

คอนเทนต์นับเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO เลยก็ว่าได้ การเขียนคอนเทนต์ให้อยู่ในเกณฑ์การให้คะแนนจาก Search Engine จึงควรเขียนครอบคลุม เนื้อหาสดใหม่ ไม่คัดลอกจากเว็บไซต์อื่น ที่สำคัญต้องประกอบด้วยคีย์เวิร์ด ซึ่งคีย์เวิร์ดเหล่านี้ท่านเจ้าของเว็บไซต์ต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์มาอย่างแม่นยำเพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

– ภาพประกอบคมชัด

นอกจากคอนเทนต์สดใหม่มีคุณภาพแล้ว ภาพประกอบก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน เพราะหลายครั้งที่นำภาพจากเว็บไซต์อื่นมาใช้ทำให้ภาพไม่คมชัด นอกจากไม่สวยงามแล้วยังทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกไม่เชื่อถือ เพราะฉะนั้นควรหันมาใช้ภาพหรือกราฟิกที่ออกแบบเอง นอกจากคมชัดสวยงามแล้วยังสื่อสารเข้าใจ เพิ่มการมองเห็น และยังเพิ่มความน่าเชื่อถืออีกด้วย

– ตั้งชื่อรูปภาพให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ด

นักการตลาดออนไลน์หลายคนมองข้ามข้อนี้ไปอย่างน่าเสียดายจึงตั้งชื่อรูปภาพไปแบบไม่มีความหมาย เช่น ตั้งชื่อภาพว่า 12345 หรือ ABCD นั่นทำให้ Search Engine ไม่เข้าใจว่ารูปภาพนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร ที่ถูกต้องควรตั้งชื่อภาพให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดหรือตั้งชื่อให้ Search Engine เข้าใจด้วยว่าเป็นภาพอะไร ยกตัวอย่าง หากต้องการขายลิปสติก ควรตั้งชื่อภาพให้มีคำว่า Lipstick เป็นต้น

– การทำ Internal Link

ยิ่งกลุ่มเป้าหมายใช้เวลาในเว็บไซต์นานเท่าไหร่ คะแนนความนิยมจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น หลายเว็บไซต์จึงนิยมทำ Internal Link หรือลิงก์ภายใน เชื่อมโยงไปยังคอนเทนต์อื่น ๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์เดียวกัน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายใช้เวลาในเว็บไซต์นานยิ่งขึ้น

– ความเร็วในการแสดงผล

คงไม่ดีแน่หากกลุ่มเป้าหมายกดเข้ามายังเว็บไซต์แล้วพบว่าข้อความไม่ขึ้น หรือภาพแสดงผลช้า จนตัดสินใจกดออกจากเว็บไซต์ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ปัญหานี้แก้ได้เมื่อเลือกใช้เครื่องมือวัดความเร็วในการแสดงผล เช่น Google Page Speed Test หรือ Google Analytics เมื่อพบว่าเว็บไซต์แสดงผลช้า ท่านเจ้าของเว็บไซต์จะสามารถปรับปรุงให้แสดงผลเร็วขึ้นได้อย่างทันท่วงที

ทั้งหมดนี้คือ On – page SEO ที่ท่านเจ้าของเว็บไซต์ควรเช็กลิสต์เสมอว่าเว็บไซต์ของคุณมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบแล้วหรือไม่ เพราะนี่คือองค์ประกอบสำคัญในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกและทำให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสค้นเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น นอกจากการทำ On – page SEO แล้วยังมีการทำ Off – page SEO ที่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอกเป็นแรงขับเคลื่อนเว็บไซต์ให้อยู่อันดับต้น ๆ การค้นหา รวมถึงการทำการตลาดออนไลน์รูปแบบอื่นควบคู่กับการทำ On – page SEO เพื่อการทำการตลาดที่ประสบความสำเร็จ

รู้หรือไม่การทำ SEO รูปภาพดีอย่างไร เริ่มต้นอย่างไรดี

รู้หรือไม่การทำ SEO รูปภาพดีอย่างไร เริ่มต้นอย่างไรดี

การทำ SEO รูปภาพ คือการทำให้ Search Engine เข้าใจว่ารูปภาพบนหน้าเว็บของเราคือรูปอะไร เป็นการสร้างโอกาสให้รูปภาพดังกล่าวปรากฏบนหน้าการค้นหาในหมวดรูปภาพของ Google และรูปภาพที่ดียังช่วยให้ลูกค้าสนใจอยากเข้ามาเยี่ยมชม หรือซื้อสินค้าบนหน้าเว็บได้ดีมากขึ้นอีกด้วย โดยการมองรูปภาพของ Google และ Facebook นั้นแตกต่างกัน Google มองภาพแบบไม่เน้นสีสัน ดังนั้นรูปภาพที่มีสีสันสวยงามไม่สามารถทำให้ Google มองเห็นได้ แต่ Google จะเห็นเพียงชื่อไฟล์ หรือ Code ที่แสดงภายในภาพเท่านั้น แต่กรณีรูปภาพที่โพสต์บน Facebook ตัว bot ของ Facebook จะมองเห็นสีสัน และคาดเดาได้ว่าภาพนั้นเป็นภาพประเภทใด ทำให้รูปแต่ละประเภทจะได้คะแนนการเข้าถึง (Reach) แตกต่างกัน

ตามสถิติของ mdgadvertising.com พบว่า 60% ของลูกค้าจะให้ความสนใจกับร้านค้าที่มีสินค้าถูกแสดงบนผลการค้นหาของ Google Image และ 67% ตัดสินใจซื้อสินค้า หากรูปสินค้าสวยงาม และน่าสนใจ กล่าวคือหากรูปของสินค้าถูกแสดงบนหน้า 1 ของ Google สินค้านั้นจะมีโอกาสเพิ่มผู้เข้าชมได้มากเป็นพิเศษ จึงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น

Image Optimization คือการปรับแต่งรูปภาพบนหน้าเว็บให้เกิดประสิทธิภาพต่อการค้นหาได้ดีที่สุด หรือส่งผลดีต่ออันดับ SEO ของเว็บไซต์ และสามารถทำได้หลายวิธี โดยหลักสำคัญในการทำ Image Optimization คือรูปภาพไม่ควรใช้พื้นที่เกิน 21% ของเว็บไซต์ เพราะข้อมูลประเภทรูปภาพใช้ความจุค่อนข้างมากกว่าข้อมูลประเภทบทความ ดังนั้นหากเว็บไซต์มีรูปภาพขนาดใหญ่มากเกินไป จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ลดลงด้วย เพราะต้องใช้เวลาในการโหลดข้อมูลมากขึ้น

วิธีการทำ SEO รูปภาพ

1. ภาพที่ทำขึ้นมาใหม่ดีกว่าภาพที่ขายอยู่ใน Stock Image หากต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ภาพที่ใช้ควรเป็นภาพของหน้าเว็บโดยตรง เพราะจะส่งผลต่อความไว้เนื้อเชื่อใจที่ดีมากขึ้น โดยเฉพาะภาพสินค้าที่จำหน่ายบนหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ

2. การตั้งชื่อรูปภาพต้องสื่อความหมายที่ถูกต้อง เนื่องจาก Google ไม่สนใจสีสัน ชื่อไฟล์ หรือ Code ต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่ Google ใช้ค้นหาภาพ จึงต้องใส่ keyword ในชื่อรูปภาพด้วย เพื่อบอกให้ google รู้ว่าภาพนี้คือภาพอะไร และทำให้การแสดงผลการค้นหาดีขึ้น หลักการตั้งชื่อรูปที่ดีคือการตั้งชื่อภาพเป็นภาษาอังกฤษที่สื่อความหมายของภาพโดยตรง รวมถึงชื่อสินค้า แนะนำว่าไม่ควรตั้งชื่อภาพเป็นภาษาไทย เพราะ Google อาจจะอ่านไม่ได้

3. การเลือกใช้ไฟล์ภาพที่มีขนาดพอเหมาะ โดยเฉพาะภาพที่ส่งผลให้หน้าเว็บมีลักษณะเป็น mobile friendly ที่โหลดได้ไวเมื่อแสดงผลบนมือถือ โดยขนาดของไฟล์ภาพไม่ควรเกิน 200 kb และขนาดความกว้าง ความยาวของภาพควรเหมาะสม สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรใหญ่เกินไป

4. การตั้งรูปเพื่อเพิ่มโอกาสแชร์ไปยัง Social media เพราะ Social media แต่ละ Platform มีลักษณะการแสดงรูปภาพที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องเลือกอย่างเหมาะสม

5. การส่ง XML image sitemaps Sitemap คือไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบของเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ เพื่อบอก Google หรือ Search Engine อื่น ๆ ให้สามารถรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บไซต์ของเราได้ง่ายมากขึ้น

เพราะการใช้รูปภาพไม่ใช่เพียงการสร้างความน่าสนใจให้กับหน้าเว็บไซต์ แต่ยังส่งผลต่ออันดับการค้นหาใน Search engine อีกด้วย

7 คุณประโยชน์ของ SEO ที่คนทำธุรกิจต้องรู้

7 คุณประโยชน์ของ SEO ที่คนทำธุรกิจต้องรู้

SEO คือ วิธีการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าค้นหาของ Search Engine อย่าง Google ภายใต้กฎ ข้อบังคับอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างโอกาสให้เป็นที่รู้จักของคนจำนวนมาก ยิ่งเว็บไซต์อยู่ในหน้าค้นหาหน้าแรก ๆ มากเท่าใด ยิ่งเป็นที่รู้จักของคนมากขึ้นเท่านั้น เพราะมากกว่า 90% คนที่ใช้ Search Engine ในการค้นหาจะคลิกลิงก์ 1 ใน 5 อันดับเสมอ นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์อื่น ๆ ที่เจ้าของเว็บไซต์ควรรู้ จะมีประโยชน์ด้านใดบ้างไปดูกันเลย

ลดค่าใช้จ่ายในการยิงแอด

การทำ SEO หากทำด้วยความมุ่งมั่นและจริงใจแล้วบอกได้เลยว่าดีกว่าการยิงแอดอย่างแน่นอน แถมบางครั้งอาจไม่ต้องเสียเงินในการทำการตลาดระยะยาวอีกด้วย เพราะการยิงโฆษณาก็เปรียบเสมือนกับถั่วงอก เพียงโรยเมล็ด เติมน้ำ ไม่กี่วันก็สามารถเก็บกินได้ทันที ในขณะที่การทำ SEO เหมือนการปลูกไม้ผล แม้ใช้ระยะเวลานาน แต่สามารถเก็บกินได้ตลอด โดยไม่ต้องปลูกใหม่

สร้างมาตรฐานให้กับเว็บไซต์

ด้วยกฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่ Search Engine กำหนดมาให้นักพัฒนาเว็บไซต์ปฏิบัติตาม เพื่อสร้างเว็บไซต์ให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด เมื่อ bot ที่ใช้ในการค้นหาและจัดอันดับ เข้ามาตรวจสอบ ก็จะทำให้เว็บไซต์ได้รับคะแนนในการจัดอันดับที่ดีขึ้นและมี feed back ให้ทำการแก้ไขเพื่อที่จะได้ปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น

ได้ลูกค้าตามกลุ่มเป้าหมาย

การทำ SEO จะช่วยให้คุณได้ลูกค้าตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพราะมีการกำหนด keyword ของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการตั้งแต่แรกนั่นเอง

แบรนด์เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น

เมื่อ keyword ของกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการค้นหาและคำที่เกี่ยวข้องทำงาน ก็จะช่วยให้แบรนด์หรือสินค้าผ่านสายตาของคนจำนวนมาก ยิ่งเห็นบ่อย ๆ ก็จะทำให้เป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น

โปรโมทสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

หากเว็บไซต์ของคุณติดอันดับค้นหาก็จะช่วยเป็นการโปรโมทสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดทั้ง 365 วันแบบไม่มีวันหยุด จึงทำให้คนรู้จักและเป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น

สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับของการค้นหาแล้ว ย่อมได้เปรียบคู่แข่งทางการค้า เพราะการที่สินค้าของคุณผ่านสายตาของคนจำนวนมาก ย่อมหมายถึงโอกาสที่จะทำให้มีลูกค้ามากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อการขายที่มากขึ้นด้วย

ได้รับความน่าเชื่อถือ

หากเว็บไซต์ได้รับการกล่าวถึงนางที่ดีเป็นวงกว้าง เป็นไปได้ว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังได้รับความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างมากในการทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์ เพราะทำให้คนเชื่อใจในเว็บไซต์ของคุณว่าจะไม่โกงนั่นเอง

แม้จะมีข้อดีมากมายของการทำ SEO แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย นั่นคือการปรับเปลี่ยนข้อกำหนด ในการค้นหาหรือการเปลี่ยนอัลกอริทึมของ Search Engine ทำให้เจ้าของเว็บไซต์ต้องการ Active ตนเองอยู่ตลอดเวลาและนำเสนอเนื้อหาที่มีแต่คุณภาพเท่านั้น ซึ่งหากใครที่ต้องการเห็นผลที่ยั่งยืน คงต้องบอกว่าต้องอดทนและพยายามให้ถึงที่สุด เพราะผลลัพธ์ดังกล่าวมันหอมหวานแล้วเย้ายวนใจยิ่งนัก

รวม 3 เทคนิคที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

รวม 3 เทคนิคที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

ในยุคนี้ไม่ว่าใครต่างก็หาข้อมูลผ่าน Search Engine ด้วยกันทั้งนั้น เพราะนอกจากความสะดวกรวดเร็วแล้ว Search Engine ยังเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ เพียงกดค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดก็ได้เจอแหล่งความรู้และข้อมูลมากมายที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ และด้วยความนิยมของ Search Engine จึงทำให้ถูกนำมาใช้ในการทำการตลาดออนไลน์ หรือการทำ SEO (Search Engine Optimization) การตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่เน้นออกแบบเว็บไซต์ให้อยู่ในเกณฑ์การให้คะแนนของ Search Engine ซึ่งถ้าเมื่อไหร่ที่เว็บไซต์ติดหน้าแรกหรือติดอันดับต้น ๆ การค้นหาจะทำให้มีโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายและสร้างการจดจำแก่ผู้ใช้งาน

เมื่อการทำ SEO มีโอกาสเพิ่มยอดขายและทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก ธุรกิจจำนวนมากจึงนิยมเลือกทำ SEO และเพราะการทำ SEO มีเทคนิคหลายข้อในการผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก แต่จะมี 3 เทคนิคสำคัญที่สุดที่นักการตลาดออนไลน์ควรรู้ไว้ เพราะมีโอกาสทำให้การทำ SEO ของคุณประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

3 เทคนิคที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO

  1. คีย์เวิร์ด

เรียกได้ว่าเป็นสิ่งแรกที่นักการตลาดออนไลน์ให้ความสำคัญ เพราะการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ใช่จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาเว็บไซต์คุณได้ง่ายยิ่งขึ้น นักการตลาดออนไลน์ส่วนใหญ่จึงมักให้เวลากับการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและเลือกใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ โดยปัจจุบันมีหลายตัวช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดแบบเทพ ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google Keyword Planner, Google Trends หรือ Ahrefs เป็นต้น

  1. คอนเทนต์ดีมีคุณภาพ

หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า Content is King นั่นแสดงให้เห็นว่าคอนเทนต์คือตัวแปรสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการทำ SEO เทคนิคง่าย ๆ คือการผลิตคอนเทนต์มีประโยชน์ มีคุณภาพ ไม่ลอกเลียนแบบ และตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ยกตัวอย่าง หากทำเว็บไซต์เกี่ยวกับความสวยความงามสำหรับวัยรุ่น มีกลุ่มเป้าหมายเว็บไซต์เป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นคอนเทนต์ที่มีโอกาสโดนใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดคือคอนเทนต์เกี่ยวกับความงาม เช่น เทคนิคการดูแลผิว เทคนิคการเลือกเครื่องสำอาง ฯลฯ

  1. ประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน

เพราะ Search Engine มีระบบให้คะแนน รวมถึงมีระบบคัดกรองเว็บไซต์ที่มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชม การออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจและน่าอ่านจึงเป็นสิ่งที่นักการตลาดออนไลน์มองข้ามไม่ได้ จึงควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์ เช่น การแสดงผลได้พอดีบนจอโทรศัพท์มือถือ ความเร็วในการดาวน์โหลด รวมถึงการออกแบบผังเว็บไซต์ให้เข้าใจง่าย เป็นต้น

และทั้งหมดนี้คือ 3 เทคนิคสำคัญที่จะผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหาง่ายยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นนักการตลาดจึงควรให้ความสำคัญกับเทคนิคเหล่านี้ เพื่อเพิ่มโอกาสผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกการค้นหาอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญการทำ SEO ยังควรทำควบคู่กับการทำการตลาดรูปแบบอื่น เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

เขียน SEO 2022 ให้ถูกใจ Google ด้วยเทคนิค E-A-T

เขียน SEO 2022 ให้ถูกใจ Google ด้วยเทคนิค E-A-T

คนทำเว็บทุกวันนี้คงรู้จักการทำ SEO มากขึ้น เป้าหมายหลักอาจจะเป็นเรื่องโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของผลการค้นหาใน Google ถ้าจะให้ดีควรปรับแต่งเว็บไซต์และคอนเทนต์ภายในเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ทำให้คนเข้ามาดูจำนวนมากขึ้น เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น

การปรับแต่งเว็บไซต์ด้วยการทำ On-page SEO ให้เว็บไซต์ง่ายต่อการใช้งาน ค้นพบสิ่งที่ต้องการได้เร็วขึ้น เพิ่มความน่าเชื่อถือและความพึงพอใจ ความหมายของ On-page SEO คือปัจจัยภายในตัวเว็บไซต์เอง ประกอบไปด้วยหน้าเว็บไซต์และคอนเทนต์ที่ต้องอธิบายให้เข้าใจชัดเจนว่าแต่ละหน้าเพจเกี่ยวกับเรื่องอะไร ทำคอนเทนต์ให้ถูกใจผู้อ่าน ใส่รูปภาพและสื่ออื่น ๆ ที่ช่วยสื่อสารได้ดีขึ้น โดยเฉพาะรูปภาพที่เป็นต้นฉบับหรือมาจากแบรนด์ของเราเอง ไม่ได้ซื้อมาจากเว็บรูปภาพดัง ๆ ทำให้เว็บของเราน่าเชื่อถือเพราะเป็นเจ้าของภาพต้นฉบับ

การปรับเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายบนมือถือมีความจำเป็นมาก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ค้นหาเว็บไซต์บนมือถือ จึงต้องปรับปรุงเว็บไซต์ให้รองรับการแสดงผลบนมือถือ ปรับความยาวของบทความ ขนาดและความคมชัดของรูปภาพเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์ใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างไม่ติดขัด สามารถเช็กกับเว็บ Mobile-friendly Test ของ Google เพื่อเช็กอย่างง่าย ๆ ว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นรองรับการใช้งานบนมือถือได้อย่างลื่นไหลหรือไม่ โดยการใส่ URL ของเว็บไซต์ของคุณในช่องว่าง แล้วกด Test URL ถ้าแสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นสีเขียวแสดงว่าเว็บไซต์นั้นได้มาตรฐานง่ายต่อการใช้งานแล้ว

ในส่วนของคอนเทนต์ควรเขียนเนื้อหาใหม่ทั้งหมด ไม่ได้ลอกบทความของคนอื่นมา ถ้าลอกเนื้อหามาบางส่วนควรอัปเดตข้อมูลให้ทันสมัยขึ้นและเพิ่มสาระประโยชน์ที่ให้ความพอใจแก่ผู้อ่าน เกิดการแชร์ต่อกันไปทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากขึ้น เนื้อหาที่ดีต่อการทำ SEO มีความยาวระหว่าง 700-2,000 คำ จะส่งผลดีต่อการทำ SEO ที่ทำให้อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ยังต้องแทรกคีย์เวิร์ดสำคัญที่ช่วยให้ค้นหาสิ่งที่ต้องการเจอได้ง่าย การปรับแต่ง On-page SEO ต้องเข้าใจหลักการเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม สามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจากเว็บไซต์ที่เป็นผู้นำตลาดหรือคู่แข่งที่มีศักยภาพ คีย์เวิร์ดที่มีหลายคำประกอบกัน เช่น “รองเท้า กีฬา ผู้หญิง มือสอง ราคาถูก” จะตีกรอบสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้เฉพาะเจาะจง ส่วนคำค้นหาสั้น ๆ เช่น “รองเท้ากีฬา” นั้น ยากต่อการแข่งขัน เพราะมีเว็บไซต์ใหญ่ที่มีคะแนน SEO สูง ๆ ครองอันดับอยู่ก่อนแล้ว ยากต่อการแทรกเข้าไปอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหา

การเขียนบทความควรมีความเข้าใจว่าจะต้องวางคีย์เวิร์ดตำแหน่งใดจึงถูกต้องเหมาะสม ทั้งการใส่คีย์เวิร์ดในชื่อบทความ ในย่อหน้าแรก และแทรกคีย์เวิร์ดลงในเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ อาจมีคีย์เวิร์ดหลายคำ ทั้งที่เป็นคำหลักและคำรอง พร้อมกับการตั้งชื่อรูปภาพที่มีคีย์เวิร์ดแทรกเข้าไปด้วย มีส่วนช่วยให้คอนเทนต์ถูกค้นหาได้ง่ายขึ้น

เขียนบทความอย่างไรให้ดีต่อ SEO

เขียนบทความอย่างไรให้ดีต่อ SEO

เว็บไซต์เปรียบได้กับร้านค้า การที่เรามีร้านค้าอยู่ในทำเลที่มีผู้คนเดินผ่านหรือเป็นทำเลที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้มากขึ้น แต่สำหรับเว็บไซต์นั้นการที่จะทำให้คนรู้จัก จะต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า traffic นำผู้คนมายังเว็บไซต์ จึงจะทำให้เรามีโอกาสในการทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ

การสร้าง traffic นั้น มีทั้งแบบที่เสียเงินเพื่อการลงโฆษณาและแบบไม่เสียเงิน การเขียนบทความเพื่อส่งเสริม SEO ถือเป็นเทคนิคที่นักการตลาดออนไลน์นิยมใช้ เพราะเป็นวิธีการที่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อซื้อโฆษณาในการโปรโมทเว็บไซต์หรือสินค้า การทำ SEO จึงมีความสำคัญและช่วยให้ประหยัดต้นทุนในระยะยาว

เทคนิคการเขียนบทความ

ในการเขียนบทความเพื่อหวังผลด้าน SEO นั้น จำเป็นที่จะต้องรู้หลักการสำคัญและเทคนิค การเขียนบทความโดยไม่มีกลยุทธ์ จะทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย และนี่คือ 4 เทคนิคการเขียนบทความที่จะทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จ

เลือกหัวข้อที่จะเขียน : เราต้องเลือกหัวข้อที่จะเขียนให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและธุรกิจที่เราทำ ควรศึกษาว่ากลุ่มเป้าหมายของเราพูดคุยกันในโลกออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องอะไรที่สามารถโยงเข้ามาสู่ธุรกิจของเราได้ หรือเรื่องราวใดกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้าง จากนั้นเราก็เขียนบทความให้ตรงกับความสนใจของผู้คนกลุ่มนั้น ๆ

คีย์เวิร์ดคือสิ่งสำคัญ : การเลือกคีย์เวิร์ดถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้คนเข้ามาพบเจอกับเว็บไซต์ของเรา การเลือกคีย์เวิร์ดนั้นจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดใดมีผู้ค้นหามากน้อยเพียงใด การเลือกคีย์เวิร์ดที่มีผู้ค้นหามากก็จะทำให้มีผู้คนเข้าถึงเนื้อหาบทความของเราได้มากเช่นกัน

การเขียนบทความให้น่าสนใจ : การเขียนบทความถือเป็นเรื่องของความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล เราต้องเขียนบทความให้มีความน่าสนใจ มีเนื้อหาที่สามารถแก้ข้อสงสัยหรือปัญหาของผู้อ่านได้ หรือให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน จะทำให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อถือในเว็บไซต์ของเรา และมีโอกาสในการเสนอขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น

กระจายคีย์เวิร์ดในบทความให้เหมาะสม : การเลือกคีย์เวิร์ดนั้น ควรเลือกให้มากกว่า 1 คีย์เวิร์ดต่อบทความ และแทรกคีย์เวิร์ดนั้นไปยังส่วนต่าง ๆ ของบทความ เช่น ชื่อบทความอาจจะแทรกคีย์เวิร์ดหลักลงไป ส่วนคีย์เวิร์ดรองอาจจะแทรกไว้ในเนื้อหา และไม่ใส่น้อยเกินไปหรือมากจนเกินไป การใส่คีย์เวิร์ดน้อยเกินไปจะทำให้ระบบไม่ทราบว่าบทความของเราเกี่ยวข้องกับเรื่องใด หรือถ้าหากใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไป ระบบก็จะมองว่าเราจงใจสแปมคีย์เวิร์ดและจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของบทความเรา ซึ่งส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ของเราต่อไป

การที่เราต้องให้ความสำคัญกับการเขียนบทความให้ถูกหลัก SEO เพราะว่าการทำให้บทความของเราติดในหน้าแรกของการค้นหา จะส่งผลให้มีผู้คนเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเราเป็นจำนวนมาก โอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจออนไลน์ก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

seo 2022

อัปเดตก่อนรู้ก่อน ! แนวทางการทำอันดับอย่างยั่งยืนในปี 2022

Search Engine Optimization คือ เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีผลต่อการแสดงคอนเทนต์บนหน้าแรกของ Search Engine โดยประโยชน์ในการทำ SEO นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำ Google Ads ยังทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือและช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์มากขึ้น ในปี ค.ศ. 2022 Google ได้พัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้นจึงมีการพัฒนาพื้นฐานในการทำ SEO ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น

3 แนวทางขั้นตอนในการทำ Google SEO

  1. วิเคราะห์ Keyword (คำค้นหา) ที่นำมาใช้: แม้ว่า Google จะมีการพัฒนาให้สามารถเข้าใจใน Content ที่คนทำเว็บไซต์ต้องการจะสื่อมากขึ้น แต่ยังคงให้ความสำคัญกับ Keyword หรือ คำค้นหา เนื่องจากเป็นสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการหาข้อมูลที่ตัวเองต้องการ ซึ่งเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์และเลือกคำค้นหาที่ดีที่สุดประกอบด้วย
    • Keyword Research Tools: เครื่องมือที่ช่วยหาคำค้นหาใกล้เคียง บอกปริมาณของการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้นและระดับความยาก – ง่าย ในการนำคีย์เวิร์ดนั้นไปทำ Content
    • Google Trend: เครื่องมือที่ช่วยอัพเดตคำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหา
    • Google Search: การนำ Keyword ที่ต้องการทำให้ติดหน้าแรกไปค้นหาใน Google Search จะช่วยให้เราได้พบกับคีย์เวิร์ดใกล้เคียงที่ Google แนะนำ ซึ่งสามารถนำมาเพิ่มลงใน Content เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ
  2. ให้ความสำคัญกับ Search Intent: Google Search Intent เป็นเครื่องมือที่ Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ Content Creator สร้างสรรค์ Content ที่มีประสิทธิภาพ มีประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ประกอบด้วย
    • เหตุผลในการค้นหา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ 1. การค้นหาข้อมูลเพื่อใช้ในการคิด วิเคราะห์ หรือตัดสินใจ เช่น การค้นหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบคีย์หลัก บอลวันนี้ คีย์รอง โปรแกรมบอลคืนนี้, ดูความแข็งแรงของคีย์เวิร์ด การค้นหาส่วนผสมของสินค้า A หรือการค้นหาเส้นทางไปยังจุดหมายปลายทางทั้งบนโลกออนไลน์และออฟไลน์ เป็นต้น 2. การค้นหาข้อมูลเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น การค้นหาโปรโมชั่นสินค้า A, การหาราคาสินค้า หรือการค้นหาสถานที่จำหน่ายสินค้า เป็นต้น
    • รูปแบบของการแสดงผลบน Search Engine: การให้ความสำคัญกับรูปแบบการแสดงผลเป็นสิ่งที่ Google ต้องการมาก โดยวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้การแสดงผลเป็นไปในรูปแบบที่ Google ต้องการ คือ การนำ Keyword ไปลองค้นหาใน Google และดูลักษณะ/รูปแบบของเว็บไซต์ที่ติดอันดับบนหน้าแรก
  3. เรียบเรียงเนื้อหาให้เข้าใจง่าย: จุดประสงค์สำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine อันดับ 1 อย่าง Google คือ การสร้างสรรค์ Content ที่กลุ่มเป้าหมายอ่านหรือฟังแล้วเข้าใจง่ายเข้าไว้โดยไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหายาวหลายพันคำเพียงแต่ต้องมีความถูกต้อง ครบถ้วนและแทรกคีย์เวิร์ดในปริมาณที่เหมาะสม

เพียงให้ความสำคัญกับ 3 ขั้นตอนหลักเหล่านี้และนำไปพัฒนาคอนเทนต์ก็จะทำให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ได้ง่ายขึ้น

ข้อดีของกลยุทธ์การทำ SEO ที่ธุรกิจควรรู้

ข้อดีของกลยุทธ์การทำ SEO ที่ธุรกิจควรรู้

ทุกวันนี้กลยุทธ์การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization มีอิทธิพลสำคัญช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหาสินค้า บริการ หรือสิ่งที่ต้องการอย่างรวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ต ตอบโจทย์โดนใจทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ธุรกิจจำเป็นต้องรู้เรื่อง SEO เพื่ออาศัยวิธีการต่าง ๆ มาเป็นกลไกขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

การทำ SEO มีประโยชน์หลายด้าน ดังนี้

-การทำให้เว็บไซต์ขึ้นติดหน้าแรกของการค้นหาผ่าน Google มีผลดีทำให้ลูกค้าพบเว็บไซต์ของคุณก่อนคู่แข่ง กลยุทธ์ SEO เป็นวิธีการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายที่้กำลังมองหาสินค้าหรือบริการบนช่องทางออนไลน์ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยลดงบประมาณด้านโฆษณาลง นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลจากคำค้นของลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้สอดคล้องกับความคาดหวังของลูกค้า วิธีการทำ SEO จึงให้ลูกค้าเห็นเว็บไซต์ก่อนคู่แข่งจึงช่วยให้มีกำไรมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินที่ลงทุนไป

-การที่เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของการค้นหาถือว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ หากทำได้จะส่งผลดีเพราะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ และยังมีโอกาสเข้าตาลูกค้าเป้าหมายก่อนคู่แข่งซึ่งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดเดียวกัน กลยุทธ์ SEO นับว่ามีส่วนช่วยโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีคนเข้าชมเว็บไซต์จำนวนมากทำให้มีโอกาสแนะนำธุรกิจให้ลูกค้าได้รู้จัก กลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจสินค้าหรือบริการของคุณเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอาจตัดสินใจง่ายขึ้นที่จะเข้ามาเป็นลูกค้ารายใหม่ เท่ากับว่ามีโอกาสเพิ่มยอดขายบนช่องทางออนไลน์ด้วยเช่นกัน

-การทำ SEO ไม่เพียงเพิ่มโอกาสการขายช่วยให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้นเท่านั้น แต่สามารถรั้งใจลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีก เกิดความภักดีต่อแบรนด์ พร้อมทั้งบอกต่อให้ลูกค้าใหม่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ยิ่งลูกค้าเก่าสนใจติดตามดูเว็บไซต์และบอกต่อเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายและเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น

-เว็บไซต์เป็นช่องทางเสนอขายสินค้าหรือบริการที่เปิดให้เข้าชมตลอดเวลา แต่ถ้าจะดีควรโพสต์ข้อความใหม่ๆ ในเวลาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ส่วนจะเป็นเวลาใดนั้นควรปรึกษานักพัฒนา SEO มืออาชีพที่รู้หลักการทำให้เว็บติดอันดับต้น ๆ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเวลาใดที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาดูข้อมูลในเว็บไซต์และวางแผนโพสต์ในเวลาเหมาะที่สุดทำให้ได้รับความสนใจอย่างเต็มที่

การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาในหน้าแรก ๆ ไม่ได้เน้นผลลัพธ์ด้านยอดขายเท่านั้น ยังเป็นการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ให้ดีขึ้นอีกด้วย เมื่อเข้าเว็บไซต์แล้วค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายและพบเจอได้เร็วทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้งานพึงพอใจและกลับมาใช้งานซ้ำอีก แม้จะขายไม่ได้ในครั้งแรกแต่มีโอกาสขายได้ในครั้งต่อไปซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว