ส่วนสำคัญของการตลาดดิจิทัล Search Engine Optimization

ส่วนสำคัญของการตลาดดิจิทัล Search Engine Optimization

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นส่วนสำคัญของการตลาดดิจิทัลที่มุ่งปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา นี่คือบทสรุป

1.การวิจัยคำหลัก: การระบุคำและวลีที่ผู้ใช้ค้นหาเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ

2.การเพิ่มประสิทธิภาพบนเพจ: การเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บแต่ละหน้าเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้นและได้รับการเข้าชมที่เกี่ยวข้องมากขึ้นในเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพชื่อ คำอธิบายเมตา ส่วนหัว และเนื้อหา

3.การเพิ่มประสิทธิภาพนอกเพจ: การสร้างลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ เพื่อแสดงให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าไซต์ของคุณน่าเชื่อถือและเชื่อถือได้

4.SEO ทางเทคนิค: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับให้เหมาะสมทางเทคนิคเพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความเร็วไซต์ ความเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย (HTTPS) และข้อมูลที่มีโครงสร้าง

5.การสร้างและการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา: การผลิตเนื้อหาคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องซึ่งตอบสนองความตั้งใจของผู้ใช้และรวมเอาคำหลักที่ตรงเป้าหมาย

6.การเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ผู้ใช้ (UX): ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณมอบประสบการณ์เชิงบวกและราบรื่นแก่ผู้เยี่ยมชม ซึ่งอาจส่งผลทางอ้อมต่อการจัดอันดับเครื่องมือค้นหา

7.SEO ท้องถิ่น (ถ้ามี): การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณให้ปรากฏในผลการค้นหาในท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่มีที่ตั้งทางกายภาพ

8.การติดตามและวิเคราะห์: ตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณอย่างต่อเนื่องในการจัดอันดับเครื่องมือค้นหา วิเคราะห์ปริมาณการใช้ข้อมูล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ SEO ของคุณตามความจำเป็น

โดยรวมแล้ว SEO เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องการความเอาใจใส่ในรายละเอียด การปรับให้เข้ากับอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหา และมุ่งเน้นที่การให้คุณค่าแก่ผู้ใช้

การตลาด SEO เครื่องมือที่สร้างผลกำไรสำหรับนักลงทุน

การตลาด SEO เครื่องมือที่สร้างผลกำไรสำหรับนักลงทุนการตลาด SEO หรือที่เรียกว่าการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา เป็นกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มุ่งเน้นที่การปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์บนเครื่องมือค้นหาเช่น Google การมองเห็นที่เพิ่มขึ้นนี้แปลเป็นการเข้าชมที่เกิดขึ้นเอง ซึ่งหมายถึงผู้เยี่ยมชมที่ค้นหาเว็บไซต์ของคุณผ่านคำค้นหาโดยที่คุณไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา

 

กลยุทธ์การสร้างผลกำไร

-การรับรู้ถึงแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น: การจัดอันดับเครื่องมือค้นหาที่สูงขึ้นทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏต่อผู้ชมในวงกว้างขึ้น ซึ่งนำไปสู่การจดจำแบรนด์มากขึ้น

-ลูกค้าเป้าหมาย: ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพคำหลักที่เกี่ยวข้อง คุณจะดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่กำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณนำเสนอ

-การตลาดที่คุ้มต้นทุน: SEO ต่างจากการโฆษณาแบบเสียเงินตรงที่ต้องใช้ความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว ซึ่งทำให้เกิดการเติบโตของปริมาณการเข้าชมแบบออร์แกนิกและยั่งยืน

-ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่ได้รับการปรับปรุง: อันดับการค้นหาที่สูงมักจะบ่งบอกถึงอำนาจและความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า

-ผลลัพธ์ที่วัดได้: SEO ช่วยให้คุณสามารถติดตามการเข้าชมเว็บไซต์ การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และคอนเวอร์ชั่น ทำให้คุณสามารถวัดความสำเร็จของการทำการตลาดและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมได้

 

กลยุทธ์ SEO ที่สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องพิจารณา

-การวิจัยคำหลัก: ระบุคำหลักที่เกี่ยวข้องซึ่งกลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหา

-การสร้างเนื้อหา: พัฒนาเนื้อหาคุณภาพสูงที่ให้ข้อมูล มีส่วนร่วม และปรับให้เหมาะสมสำหรับคำหลักที่คุณเลือก

-การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะกับมือถือ มีความเร็วในการโหลดที่รวดเร็ว และมอบประสบการณ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้

-การสร้างลิงก์: รับลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและอำนาจของเว็บไซต์ของคุณ

 

สิ่งสำคัญที่ควรทราบ: SEO เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องใช้ความพยายามและการปรับตัวอย่างสม่ำเสมอเพื่อก้าวนำหน้าอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหาที่พัฒนาอยู่ ลองปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เพื่อพัฒนาและดำเนินการกลยุทธ์ SEO ที่ครอบคลุมสำหรับการลงทุนของคุณ

วิธีทำ SEO ที่ควรเลี่ยง

วิธีทำ SEO ที่ควรเลี่ยง

ในโลกของ SEO มีเทคนิคบางอย่างที่อาจส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณแทนที่จะช่วยอันดับได้ สิ่งเหล่านี้มักเรียกว่าเทคนิค “หมวกดำ” หรือ “สแปม” และควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ วิธีการทำ SEO ที่สำคัญที่คุณควรหลีกเลี่ยง

1.การใช้คำหลักในทางที่ผิด

การใช้คำหลักในทางที่ผิด: การอัดคำหลักในเนื้อหาของคุณอย่างไม่เป็นธรรมชาติทำให้ผู้อ่านดูเทอะทะและไม่เป็นที่พอใจ เครื่องมือค้นหายังสามารถลงโทษคุณได้ในเรื่องนี้

รูปแบบการกำหนดเป้าหมายจากคำหลัก: อย่าสร้างหน้าเว็บหลายหน้าโดยกำหนดเป้าหมายคำหลักเดียวกันในเวอร์ชันที่แตกต่างกันเล็กน้อย มุ่งเน้นที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงในหัวข้อที่กว้างขึ้น

คำหลักที่ทำให้เข้าใจผิด: อย่าใช้คำหลักที่ไม่สะท้อนถึงธีมของเนื้อหาของคุณอย่างถูกต้อง สิ่งนี้หลอกลวงผู้ใช้และทำให้ความน่าเชื่อถือของคุณลดลง

2.ปัญหาเนื้อหา

เนื้อหาน้อย: หน้าเพจที่มีเนื้อหามีคุณค่าน้อยที่สุดไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา มุ่งเน้นที่การสร้างเนื้อหาเชิงลึกที่ให้ข้อมูลที่ผู้ใช้จะมีส่วนร่วม

การหมุนเวียนเนื้อหา: การเขียนเนื้อหาที่มีอยู่ใหม่โดยอัตโนมัตินั้นมีคุณภาพต่ำและเครื่องมือค้นหาตรวจพบได้ง่าย สร้างเนื้อหาต้นฉบับที่มีคุณค่าไม่ซ้ำใคร

ข้อความหรือลิงก์ที่ซ่อน: การซ่อนข้อความหรือลิงก์จากผู้ใช้โดยที่เครื่องมือค้นหามองเห็นข้อความหรือลิงก์นั้นเป็นกลวิธีบิดเบือนที่อาจทำให้คุณถูกลงโทษ

3.การจัดการลิงก์

การซื้อลิงก์: การซื้อลิงก์ย้อนกลับขัดต่อหลักเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา และอาจส่งผลเสียต่ออันดับของคุณอย่างรุนแรง สร้างลิงก์ย้อนกลับแบบออร์แกนิกผ่านเนื้อหาและการเข้าถึงที่มีคุณภาพ

รูปแบบลิงก์: การเข้าร่วมในการแลกเปลี่ยนลิงก์หรือรูปแบบการสร้างลิงก์ปลอมอื่นๆ อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกตั้งค่าสถานะได้ มุ่งเน้นที่การรับลิงก์ย้อนกลับตามธรรมชาติจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง

ความคิดเห็นที่เป็นสแปม: การแสดงความคิดเห็นที่ไม่เกี่ยวข้องบนเว็บไซต์อื่นด้วยลิงก์ย้อนกลับไปยังเว็บไซต์ของคุณเองนั้นไม่ได้ผลและอาจถูกมองว่าเป็นสแปม มีส่วนร่วมในการสนทนาอย่างจริงใจและให้คุณค่าในความคิดเห็นของคุณ

4.แนวทางปฏิบัติอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยง

การปิดบัง: การแสดงเนื้อหาที่แตกต่างกันต่อเครื่องมือค้นหาและผู้ใช้ถือเป็นการหลอกลวงและอาจทำให้คุณถูกลงโทษได้

SEO เชิงลบ: การพยายามทำลายอันดับของคู่แข่งด้วยกลยุทธ์ที่ผิดจรรยาบรรณนั้นเป็นอันตรายและขัดต่อหลักเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา

การเพิกเฉยต่อ SEO บนมือถือ: เนื่องจากการค้นหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนอุปกรณ์มือถือ การละเลยการเพิ่มประสิทธิภาพบนมือถือจะส่งผลเสียต่อการมองเห็นของคุณอย่างมาก

โปรดจำไว้ว่าแนวทางปฏิบัติ SEO ที่ดีที่สุดมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง การให้คุณค่าแก่ผู้ใช้ และสร้างความไว้วางใจและอำนาจอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการหลีกเลี่ยงเทคนิคที่เป็นอันตรายเหล่านี้และมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ผู้ใช้ที่แท้จริง คุณจะกำหนดเว็บไซต์ของคุณบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ SEO ในระยะยาว

 

นักธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องรู้เทคนิคการตลาดที่หลากหลายเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน ต่อไปนี้เป็นเทคนิคทางการตลาดที่สำคัญที่สุดบางส่วน: การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา (SEO): SEO คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องทั่วทั้งเว็บไซต์ของคุณ การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง และสร้างลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่นๆ การตลาดด้วยเนื้อหา: การตลาดด้วยเนื้อหาเป็นกระบวนการในการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่า เกี่ยวข้อง และสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดและรักษาผู้ชมที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน และขับเคลื่อนการกระทำของลูกค้าที่ทำกำไร ซึ่งอาจรวมถึงบล็อกโพสต์ บทความ อินโฟกราฟิก วิดีโอ และเนื้อหาประเภทอื่นๆ การตลาดบนโซเชียลมีเดีย: การตลาดบนโซเชียลมีเดียเป็นกระบวนการของการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter และ Instagram เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายและโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างและแบ่งปันเนื้อหาที่น่าสนใจ แสดงโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย และมีส่วนร่วมในการสนทนาที่เกี่ยวข้อง การตลาดผ่านอีเมล: การตลาดผ่านอีเมลเป็นกระบวนการส่งอีเมลไปยังสมาชิกของคุณเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ สร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา และกระตุ้นยอดขาย ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างจดหมายข่าว อีเมลส่งเสริมการขาย และแคมเปญอีเมลอัตโนมัติ การโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC): การโฆษณา PPC เป็นการโฆษณาออนไลน์ประเภทหนึ่งที่คุณจ่ายเงินทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ นี่อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ และสร้างโอกาสในการขายและการขาย นอกจากเทคนิคการตลาดหลักเหล่านี้แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งที่นักธุรกิจออนไลน์สามารถใช้เพื่อโปรโมตธุรกิจของตนได้ เช่น การตลาดแบบใช้อินฟลูเอนเซอร์: การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์เป็นกระบวนการของการร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ในอุตสาหกรรมของคุณเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้กับผู้ติดตามของพวกเขา นี่อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากและสร้างความไว้วางใจกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า การตลาดแบบ Affiliate: การตลาดแบบ Affiliate เป็นการตลาดแบบหนึ่งตามผลงานที่คุณจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับ Affiliate สำหรับการขายแต่ละครั้งที่พวกเขาสร้างให้คุณ นี่อาจเป็นวิธีที่ดีในการขยายการเข้าถึงและเพิ่มยอดขายโดยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากกับต้นทุนการตลาดล่วงหน้า การตลาดผ่านวิดีโอ: การตลาดผ่านวิดีโอเป็นกระบวนการในการใช้วิดีโอเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างวิดีโอผลิตภัณฑ์ วิดีโออธิบาย และคำรับรอง การตลาดผ่านวิดีโอเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการดึงดูดผู้ชมและกระตุ้นยอดขาย เทคนิคการตลาดที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม กลุ่มเป้าหมาย และงบประมาณของคุณ อย่างไรก็ตาม เทคนิคที่กล่าวข้างต้นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับธุรกิจออนไลน์

SEO เทคนิคการตลาดที่นักธุรกิจออนไลน์ต้องรู้

นักธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องรู้เทคนิคการตลาดที่หลากหลายเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน ต่อไปนี้เป็นเทคนิคทางการตลาดที่สำคัญที่สุดบางส่วน:

1.การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา (SEO) SEO คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้มีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องทั่วทั้งเว็บไซต์ของคุณ การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง และสร้างลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่นๆ

2.การตลาดด้วยเนื้อหา การตลาดด้วยเนื้อหาเป็นกระบวนการในการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่า เกี่ยวข้อง และสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดและรักษาผู้ชมที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน และขับเคลื่อนการกระทำของลูกค้าที่ทำกำไร ซึ่งอาจรวมถึงบล็อกโพสต์ บทความ อินโฟกราฟิก วิดีโอ และเนื้อหาประเภทอื่นๆ

3.การตลาดบนโซเชียลมีเดีย การตลาดบนโซเชียลมีเดียเป็นกระบวนการของการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter และ Instagram เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายและโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างและแบ่งปันเนื้อหาที่น่าสนใจ แสดงโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย และมีส่วนร่วมในการสนทนาที่เกี่ยวข้อง

4.การตลาดผ่านอีเมล  การตลาดผ่านอีเมลเป็นกระบวนการส่งอีเมลไปยังสมาชิกของคุณเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ สร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา และกระตุ้นยอดขาย ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างจดหมายข่าว อีเมลส่งเสริมการขาย และแคมเปญอีเมลอัตโนมัติ

5.การโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) การโฆษณา PPC เป็นการโฆษณาออนไลน์ประเภทหนึ่งที่คุณจ่ายเงินทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ นี่อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ และสร้างโอกาสในการขายและการขาย

นอกจากเทคนิคการตลาดหลักเหล่านี้แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งที่นักธุรกิจออนไลน์สามารถใช้เพื่อโปรโมตธุรกิจของตนได้ เช่น

1.การตลาดแบบใช้อินฟลูเอนเซอร์ การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์เป็นกระบวนการของการร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ในอุตสาหกรรมของคุณเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้กับผู้ติดตามของพวกเขา นี่อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากและสร้างความไว้วางใจกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า

2.การตลาดแบบ Affiliate การตลาดแบบ Affiliate เป็นการตลาดแบบหนึ่งตามผลงานที่คุณจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับ Affiliate สำหรับการขายแต่ละครั้งที่พวกเขาสร้างให้คุณ นี่อาจเป็นวิธีที่ดีในการขยายการเข้าถึงและเพิ่มยอดขายโดยไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากกับต้นทุนการตลาดล่วงหน้า

3.การตลาดผ่านวิดีโอ การตลาดผ่านวิดีโอเป็นกระบวนการในการใช้วิดีโอเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างวิดีโอผลิตภัณฑ์ วิดีโออธิบาย และคำรับรอง การตลาดผ่านวิดีโอเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการดึงดูดผู้ชมและกระตุ้นยอดขาย

เทคนิคการตลาดที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม กลุ่มเป้าหมาย และงบประมาณของคุณ อย่างไรก็ตาม เทคนิคที่กล่าวข้างต้นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับธุรกิจออนไลน์

ข้อดีของกลยุทธ์การทำ SEO ที่ธุรกิจควรรู้

ข้อดีของกลยุทธ์การทำ SEO ที่ธุรกิจควรรู้

ทุกวันนี้กลยุทธ์การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization มีอิทธิพลสำคัญช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหาสินค้า บริการ หรือสิ่งที่ต้องการอย่างรวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ต ตอบโจทย์โดนใจทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ธุรกิจจำเป็นต้องรู้เรื่อง SEO เพื่ออาศัยวิธีการต่าง ๆ มาเป็นกลไกขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

การทำ SEO มีประโยชน์หลายด้าน ดังนี้

-การทำให้เว็บไซต์ขึ้นติดหน้าแรกของการค้นหาผ่าน Google มีผลดีทำให้ลูกค้าพบเว็บไซต์ของคุณก่อนคู่แข่ง กลยุทธ์ SEO เป็นวิธีการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายที่้กำลังมองหาสินค้าหรือบริการบนช่องทางออนไลน์ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยลดงบประมาณด้านโฆษณาลง นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลจากคำค้นของลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้สอดคล้องกับความคาดหวังของลูกค้า วิธีการทำ SEO จึงให้ลูกค้าเห็นเว็บไซต์ก่อนคู่แข่งจึงช่วยให้มีกำไรมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินที่ลงทุนไป

-การที่เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของการค้นหาถือว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ หากทำได้จะส่งผลดีเพราะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ และยังมีโอกาสเข้าตาลูกค้าเป้าหมายก่อนคู่แข่งซึ่งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดเดียวกัน กลยุทธ์ SEO นับว่ามีส่วนช่วยโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีคนเข้าชมเว็บไซต์จำนวนมากทำให้มีโอกาสแนะนำธุรกิจให้ลูกค้าได้รู้จัก กลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจสินค้าหรือบริการของคุณเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอาจตัดสินใจง่ายขึ้นที่จะเข้ามาเป็นลูกค้ารายใหม่ เท่ากับว่ามีโอกาสเพิ่มยอดขายบนช่องทางออนไลน์ด้วยเช่นกัน

-การทำ SEO ไม่เพียงเพิ่มโอกาสการขายช่วยให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้นเท่านั้น แต่สามารถรั้งใจลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีก เกิดความภักดีต่อแบรนด์ พร้อมทั้งบอกต่อให้ลูกค้าใหม่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ยิ่งลูกค้าเก่าสนใจติดตามดูเว็บไซต์และบอกต่อเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายและเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น

-เว็บไซต์เป็นช่องทางเสนอขายสินค้าหรือบริการที่เปิดให้เข้าชมตลอดเวลา แต่ถ้าจะดีควรโพสต์ข้อความใหม่ๆ ในเวลาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ส่วนจะเป็นเวลาใดนั้นควรปรึกษานักพัฒนา SEO มืออาชีพที่รู้หลักการทำให้เว็บติดอันดับต้น ๆ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเวลาใดที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาดูข้อมูลในเว็บไซต์และวางแผนโพสต์ในเวลาเหมาะที่สุดทำให้ได้รับความสนใจอย่างเต็มที่

การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาในหน้าแรก ๆ ไม่ได้เน้นผลลัพธ์ด้านยอดขายเท่านั้น ยังเป็นการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ให้ดีขึ้นอีกด้วย เมื่อเข้าเว็บไซต์แล้วค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายและพบเจอได้เร็วทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้งานพึงพอใจและกลับมาใช้งานซ้ำอีก แม้จะขายไม่ได้ในครั้งแรกแต่มีโอกาสขายได้ในครั้งต่อไปซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว

รวมเทคนิคการหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

รวมเทคนิคการหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การทำคอนเทนต์ การเขียนคำอธิบาย การออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลอย่างเหมาะสมกับอุปกรณ์ การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ขาดไม่ได้คือการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักการตลาดออนไลน์จึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ใช่ และสำหรับใครที่ต้องการออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักด้วยการทำ SEO ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ ที่จะทำให้ได้คีย์เวิร์ดที่ใช่และตรงกลุ่มเป้าหมาย 

ความสำคัญของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO

ก่อนจะไปติดตามเทคนิคการค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ ลองมาดูความสำคัญของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO กันเสียก่อน โดยคีย์เวิร์ด คือ คำที่ผู้คนใช้ค้นหาเพื่อให้ได้ข้อมูลสินค้าและบริการที่ต้องการ เช่น ครีมหน้าใส เทคนิคลดน้ำหนัก ฯลฯ ซึ่งความสำคัญของการออกแบบคีย์เวิร์ดให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายค้นหาจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเจอเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ยิ่งคีย์เวิร์ดมีความเฉพาะเจาะลงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เจอกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายถึงการเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายจดจำเว็บไซต์และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการซื้อในอนาคตได้อีกด้วย 

เทคนิคหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

– วิเคราะห์คีย์เวิร์ดจากหลายปัจจัย

การเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ ไม่ได้ตัดสินใจจากคีย์เวิร์ดที่มียอดการค้นหามากที่สุดเท่านั้น เพราะต้องวิเคราะห์องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น อัตราการแข่งขัน ความยากง่ายของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ การเลือกใช้คีย์เวิร์ดใกล้เคียง เพื่อเพิ่มโอกาสการค้นเจอ ฯลฯ ดังนั้น การตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ดจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ รวมถึงต้องติดตามผลตอบรับเสมอว่าคีย์เวิร์ดที่ใช้ตอบโจทย์หรือไม่

– มีหลากหลายเครื่องมือเป็นตัวช่วย

ความได้เปรียบของการทำ SEO คือมีเครื่องมือมากมายเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ให้ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการเพิ่มขึ้น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดก็มีหลายเครื่องมือให้เลือกใช้เช่นกัน โดยนักการตลาดไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องมือเพียงชนิดเดียว เพราะการใช้หลายเครื่องมือจะช่วยทำให้มีไอเดียออกแบบคอนเทนต์ใหม่ ๆ และยังเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้คีย์เวิร์ดอีกด้วย

– ศึกษาจากคู่แข่ง

อีกหนึ่งวิธีเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ คือการติดตามความเคลื่อนไหวเว็บไซต์คู่แข่งเสมอว่าคู่แข่งทำคอนเทนต์สไตล์ใดหรือมีการเลือกใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้าง ซึ่งการศึกษาคู่แข่งจะช่วยให้เรียนรู้จุดแข็งและจุดอ่อนเว็บไซต์ตัวเอง จนเกิดเป็นการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อคีย์เวิร์ดมีความสำคัญในการทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์ของคุณอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังทำให้เกิดความเชื่อถือและอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการในอนาคต เพราะฉะนั้นนักการตลาดออนไลน์จึงควรศึกษาเครื่องมือแต่ละชนิดเพื่อการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้ข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพียงเท่านี้การทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์ของคุณก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้ Facebook

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้ Facebook

เราเชื่อว่าหลายคนเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เปิดหน้าเพจใน Facebook สำหรับประชาสัมพันธ์และโปรโมทการขายสินค้าต่าง ๆ ทั้งของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้าสินค้าแฟชั่น อุปกรณ์ไอที ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการเปิดเพจบน Facebook ทำได้ฟรีและง่าย จึงมีคนทำร้านค้าเปิดใหม่มากมาย การทำ SEO ให้กับ Facebook จึงเป็นเทคนิคสำคัญที่ทำให้มีผู้ติดตามและยอดขายสูงขึ้นได้ ซึ่งสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ใน Facebook มีดังนี้

1.การตั้งชื่อเพจ
ควรมี keyword ที่สำคัญอยู่ในนั้น โดยไม่ควรเป็น keyword ที่กว้างเกินไป อย่างเช่น คุณขายรองเท้ากีฬา อุปกรณ์ไอที โทรศัพท์ ฯลฯ ก็ควรใส่แบรนด์ลงไปด้วย เช่น Apple Samsung Vivo Nike Adidas ยิ่งระบุลงไปได้ละเอียดเท่าไร จะเพิ่มโอกาสที่จะผู้คนจะสืบค้นเจอเพจของคุณมากขึ้นเท่านั้น

2.ต้องตั้ง Alternative text ให้แก่รูปภาพ
Alt Text เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำอันดับ SEO ใน Facebook เช่นกัน เพราะรูปเป็นตัวช่วยในการสืบค้นเพจของคุณให้เจอง่ายขึ้น เช่น คุณทำขนมเบเกอรี่ขาย ควรตั้งค่า Alt text เป็นชนิดของขนม เช่น บราวนี่ คุกกี้เนยสด เค้กญี่ปุ่น เป็นต้น หรือทำธุรกิจเต็นท์รถ ก็ควรใส่แบรนด์และรุ่นรถด้วย

3.ใส่ H1 h2 ของบทความ
H1 h2 คือ หัวข้อหลักและหัวข้อรอง ที่คนทำเว็บไซต์รู้จักกันดีว่าจะต้องมีทำให้ระบบ algorithm ของ Google เก็บข้อมูลเพื่อจัดอันดับได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับ Facebook ที่ต้องมี H1 h2 เสมอ จะทำให้เพจของคุณจะมีโอกาสถูกนำเสนอได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ลดความจำเป็นในการยิงโฆษณาใน Facebook ลงได้

4.ความยาวของบทความ
Facebook เป็นแหล่งรวมตัวของผู้อ่านที่ชอบความกระชับสั้น บทความจึงไม่ควรยาวเกิน 300 คำ เมื่อรู้พฤติกรรมของผู้อ่านแล้ว จะนำไปสู่การเขียนบทความที่ใส่เนื้อหากำลังพอดี อาจใส่แคปชั่นหรือแฮชแท็กช่วยให้มีลูกเล่น และกระตุ้นให้คลิกเข้าไปอ่านเพิ่ม

5.ต้องรู้ธรรมชาติของ Facebook และ Google
Facebook กับ Google ถือว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจออนไลน์ แม้เราจะทำ SEO ได้ดีเพียงใดใน Facebook แต่โอกาสที่จะถูกสืบค้นเจอผ่าน Google ก็มีน้อย จุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป หากลูกค้าของคุณคือคนไทยซึ่งมีปริมาณการใช้ Facebook สูงมากตลอดปี คุณก็สามารถทำตามระบบ SEO ที่กล่าวไป จะเพิ่มผู้ติดตามและยอดขายได้แน่นอน

การเรียนรู้ระบบของ SEO ใน Facebook มีบางอย่างที่คล้ายกันกับ Google แต่ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มด้านพฤติกรรมการใช้งาน แนวบทความที่คนชอบอ่าน เทคนิคการใส่แคปชั่น ฯลฯ จึงจะทำให้คุณสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการตั้งเพจ คือ มียอดผู้ติดตามและมียอดการขายสินค้ามากขึ้น

สายคอนเทนต์ห้ามพลาด 3 เครื่องมือสำคัญสำหรับนักทำคอนเทนต์ SEO

สายคอนเทนต์ห้ามพลาด 3 เครื่องมือสำคัญสำหรับนักทำคอนเทนต์ SEO

แม้ว่าการทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือการออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้ก้าวสู่หน้าแรกของ Search Engine จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับดี ๆ แต่ถึงอย่างนั้นต้องยอมรับเลยว่า “คอนเทนต์” คือหัวใจสำคัญและมีส่วนอย่างยิ่งในการผลักดันให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก และสำหรับใครที่เป็นสายคอนเทนต์ การมีตัวช่วยเพื่อการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งคงดีไม่น้อย เพราะฉะนั้นลองมาดูกันว่ามีเครื่องมือใดบ้างที่สายคอนเทนต์ควรหามาติดตั้งหรือดาวน์โหลดมาใช้งาน เพื่อการทำคอนเทนต์ให้ปังและมีโอกาสได้คะแนนจาก Search Engine มากยิ่งขึ้น

  1. Google Trends
    เครื่องมือจาก Google ที่เชื่อว่านักการตลาดออนไลน์น่าจะรู้จักเป็นอย่างดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครที่อาจคิดไม่ออกว่าจะเขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย เพราะเครื่องมือนี้คือตัวช่วยติดตามเทรนด์อย่างสมชื่อ สามารถใช้ค้นหาได้ว่าแต่ละเดือน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละวัน มีเทรนด์การค้นหาเรื่องใดบ้าง รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูลแบ่งตามพื้นที่อยู่อาศัยได้อีกด้วย ซึ่งสายคอนเทนต์สามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ต่อยอดการคิดคอนเทนต์ได้
  2. Google Keyword Planner
    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในกลุ่มนักการตลาดออนไลน์ว่าคีย์เวิร์ดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นหลังจากได้ไอเดียการเขียนคอนเทนต์แล้วก็ได้เวลาค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ เพื่อการสร้างคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถกดค้นหาคีย์เวิร์ดที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้น ๆ เพื่อพิจารณาว่าคีย์เวิร์ดใดได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อการวางแผนทำคอนเทนต์อย่างแม่นยำและเพิ่มโอกาสไต่อันดับในหน้าแรกของการค้นหา
  3. Yoast’s Real-time Content Analysis
    อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญอันเป็นตัวช่วยสำหรับสายทำคอนเทนต์ มีให้เลือกทั้งแบบใช้งานฟรีและแบบมีค่าใช้จ่ายเพื่อการใช้งานแบบเทพ ๆ จุดเด่นคือเป็นตัวช่วยวิเคราะห์คอนเทนต์ เพื่อให้วางแผนหรือปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ได้อย่างทันท่วงที แสดงผลแบบเรียลไทม์เป็นสีต่าง ๆ ตามสีสัญญาณไฟ จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใจสายทำคอนเทนต์เป็นอย่างยิ่ง รับรองว่าหากมีติดเครื่องต้องได้ใช้งานเป็นประจำอย่างแน่นอน

3 เครื่องมือที่หยิบมาแนะนำนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสายคอนเทนต์ที่ต้องการตัวช่วยในการผลิตคอนเทนต์ให้ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยผลักดันให้เว็บไซต์มีโอกาสติดหน้าแรกการค้นหา และนอกจากการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งแล้ว อย่าลืมว่าการทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบเว็บไซต์ให้อ่านง่าย การทำลิงก์ภายในและภายนอกเว็บไซต์ การแสดงผลแบบ Mobile Friendly การตั้งชื่อภาพประกอบ ฯลฯ นอกจากนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นยังจำเป็นต้องทำการตลาดวิธีอื่นร่วมด้วย เพื่อผลลัพธ์การทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

SEO คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร ทำไมจึงต้องทำ

SEO คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร ทำไมจึงต้องทำ

ในยุคที่อะไร ๆ ก็ต้องรวดเร็วและตามโลกแห่งเทคโนโลยีให้ทัน ถือเป็นความท้าทายของธุรกิจที่ว่าจะทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าหรือบริการของเราได้อย่างไร ไม่ก็สินค้าหรือบริการของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการข้อใดของลูกค้าได้บ้าง เหล่านี้หากจะส่งข้อมูลข่าวสารให้ถึงมือผู้บริโภคในยุคดิจิตอลได้เร็วที่สุดคือการต้องทำหน้าเว็บไซต์หรือเพจของร้านค้าออนไลน์ของเราปรากฎสู่สายตาของผู้บริโภคให้ได้ เครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือการทำ SEO เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับแรกๆ ของการค้นหาในกูเกิ้ล (Google) วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความสำคัญของ SEO กัน รวมถึงเหตุผลที่ธุรกิจจำเป็นจะต้องใช้ SEO เพื่อการสร้างรายได้ด้วย

SEO หรือ Search Engine Optimization คือการทำการตลาดดิจิตอลซึ่งจะทำให้หน้าเว็บไซต์ หรือเพจร้านค้าของสินค้าและบริการขึ้นไปอยู่บนหน้าแรกของการค้นหาใน Google เพราะทุกวันนี้เวลาใครจะซื้อจะหาอะไร หรือต้องการรู้ข้อมูลใดก็หนีไม่พ้นการเข้าไปค้นหาข้อมูลใน Google ดังนั้น ถ้าธุรกิจต้องการสื่อสารแบรนด์ของสินค้าหรือบริการไปสู่มือของผู้บริโภคซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกให้ได้ จึงจำเป็นต้องทำให้ผู้บริโภคได้เห็นข้อมูลเว็บไซต์หรือเพจร้านค้าของเราอยู่บนหน้าคำตอบจากการค้นหาของ Google ซึ่งเทคนิคในการทำ SEO มีดังนี้

1.กำหนดคีย์เวิร์ด (Keyword) คือการกำหนดคำค้นหาของสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจควรเน้นคำที่มีจำนวนการค้นหาบ่อยๆ เพราะถ้ากำหนดคำได้ดี หน้าเว็บไซต์หรือเพจร้านของเราก็จะมีโอกาสถูกค้นหาเจอได้มากขึ้น เทคนิคของการกำหนดคีย์เวิร์ดคือกำหนดคำค้นหาซึ่งเป็นคำตอบที่ผู้บริโภคอยากรู้ เป็นคำง่าย ๆ ที่ใช้บ่อย ๆ บนหน้าค้นหา หรือไม่ก็เป็นคำค้นหาที่บอกถึงทางแก้ไขปัญหาหรือความต้องการของผู้บริโภค

2.ผลิตคอนเทนต์ (Content) ที่เป็นประโยชน์และมีคุณภาพ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เมื่อผู้บริโภคค้นหาหน้าสินค้าหรือบริการของเราเจอแล้วยังสามารถบริโภคข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์หรือเพจร้านของเราต่อไปได้ก็เพราะเนื้อหาหรือข้อมูลที่ปรากฎต่อสายตามีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาจึงสามารถใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลสินค้าหรือบริการของเราต่อ ความหมายก็คือเพียงแค่กำหนดคีย์เวิร์ดที่ผู้บริโภคค้นเจอเว็บไซต์ของเราจนเจออย่างเดียวไม่ได้ เนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่แสดงอยู่ในหน้าเว็บไซต์นั้นยังต้องตอบโจทย์หรือตอบคำถามและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ด้วย เทคนิคคือหน้าเว็บไซต์ต้องไม่ใช่มีแต่ข้อมูลยาว ๆ แต่ควรมีภาพประกอบหรือบทความที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคด้วย

3.สร้างการเชื่อมโยงของลิงค์ (Link) สินค้าหรือบริการ คือการมีพันธมิตรที่สามารถนำลิงค์สินค้าหรือบริการของเราไปเชื่อมโยงด้วยได้ เช่น ร้านค้าของเราซึ่งขายเครื่องสำอางสามารถหาพันธมิตรร้านค้าประเภทผลิตภัณฑ์เสริมความงามเพื่อนำลิงค์ร้านค้าของเราไปร่วมลงได้ จะทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเห็นเว็บไซต์หรือเพจร้านของเรามากขึ้น

สรุปก็คือ ธุรกิจอยู่ได้ด้วยการมีลูกค้าหรือผู้บริโภคที่รู้จักและมีส่วนในการสนับสนุนซื้อสินค้าหรือบริการของเรา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ SEO เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้บริโภคได้รู้จัก หรือรับรู้ถึงตัวตนของแบรนด์สินค้าหรือบริการของเราให้ได้

สิ่งที่ควรรู้ก่อนจ้างทำ SEO

สิ่งที่ควรรู้ก่อนจ้างทำ SEO

การทำ SEO เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น และได้ส่วนแบ่งการตลาดที่สูงขึ้นในระยะยาว การทำ SEO หรือ search engine optimization ตามระบบที่ Google ได้ให้แนวทางไว้ เป็นเรื่องที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาและความตั้งใจสม่ำเสมอ มิฉะนั้นอันดับก็จะไม่สามารถอยู่ในระดับ Top 5 Top 10 ได้นาน

  • เลือกจากราคา หรือ คุณภาพ?

บริษัทรับทำ SEO ที่มีผู้เชี่ยวชาญรวมตัวกันเป็นทีม จึงเปิดตัวเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าของกิจการธุรกิจออนไลน์ โดยเรียกค่าใช้จ่ายเป็นแพ็กเกจรายเดือน การจ้างบริษัททำ SEO ที่ดี เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมากพอ ๆ กับการเลือกบริษัททำเว็บไซต์ออนไลน์ ควรคัดเลือกที่คุณภาพมากกว่าราคา เนื่องจากการแข่งขันในโลกธุรกิจออนไลน์มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในทุกปี

  • ผลงานและความน่าเชื่อถือ

การทำ SEO ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตบทความที่มีคำสำคัญตรงกับการค้นหาของลูกค้าเป้าหมาย การทำคลิปวิดีโอที่ดึงดูดความสนใจผู้คน การพัฒนาโครงสร้างความสวยงามของเว็บไซต์ให้ผู้บริโภคใช้งานง่าย ฯลฯ เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ว่าจ้างควรศึกษาผลงานย้อนหลังหรือผลรีวิวต่าง ๆ เพื่อเปรียบเทียบก่อนเลือกจ้างบริษัทที่ดีที่สุด

  • การรับประกันอันดับในผลการค้นหา

ข้อสังเกตสำคัญประการหนึ่ง คือ บริษัทรับทำ SEO ที่ดี จะไม่การันตีผลเลิศเกินไป โอกาสที่จะได้อันดับ Top 1 จากการจ้างทำตลอดเวลาเป็นเรื่องยาก เพราะระบบอัลกอริทึ่มของกูเกิ้ลมีการสะสมข้อมูลเป็นระยะ ความเป็นไปได้สูงคือ อยู่ในอันดับติดหนึ่งในสาม หรือ top3 เท่านั้น วิธีที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้คุณก่อนจ้างคือ เลือกบริษัทที่มีการรับประกันผลการทำอันดับ SEO ว่าต้องดีขึ้นตามแพ็กเกจที่เลือก หากทำไม่ได้จะมีการชดเชยค่าเสียหายให้ อย่างไรก็ตาม การสูญเสียโอกาสในการขายสินค้าและจำนวนคู่แข่ง ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาความเสี่ยงนี้ จึงควรเลือกจ้างงานอย่างพิถีพิถันอยู่เสมอ

  • ค่าใช้จ่าย

สำหรับค่าใช้จ่ายในการจ้างทำ SEO โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ 5,000 บาทต่อเดือน กรณีที่การันตีผลลัพธ์อันดับ Top 10 แต่ถ้าอันดับท็อป 3 ก็จะอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 50,000 บาทต่อเดือน เห็นได้ว่ายิ่งอันดับที่คาดหวังเป็นอันดับสูง ก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของ keyword ที่ใช้ด้วยว่ามีอัตราการแข่งขันสูงหรือไม่ ซึ่งทางบริษัทจะต้องทำใบเสนอราคาเพื่อให้เจ้าของธุรกิจได้พิจารณาก่อนการทำสัญญาจ้างงาน

จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ควรรู้ก่อนจ้างบริษัททำ SEO มีอยู่หลายประการ หากคุณรู้หลักการในการทำ SEO แล้ว ก็สามารถทำด้วยตัวเองได้ แต่หากไม่มีเวลา ก็แนะนำให้เลือกจ้างบริษัทที่เป็นมืออาชีพ โดยคำนึงถึงประเด็นที่กล่าวมา เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างดียิ่งขึ้น