รวมเทคนิคการหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

รวมเทคนิคการหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การทำคอนเทนต์ การเขียนคำอธิบาย การออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลอย่างเหมาะสมกับอุปกรณ์ การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ขาดไม่ได้คือการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักการตลาดออนไลน์จึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ใช่ และสำหรับใครที่ต้องการออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักด้วยการทำ SEO ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ ที่จะทำให้ได้คีย์เวิร์ดที่ใช่และตรงกลุ่มเป้าหมาย 

ความสำคัญของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO

ก่อนจะไปติดตามเทคนิคการค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ ลองมาดูความสำคัญของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO กันเสียก่อน โดยคีย์เวิร์ด คือ คำที่ผู้คนใช้ค้นหาเพื่อให้ได้ข้อมูลสินค้าและบริการที่ต้องการ เช่น ครีมหน้าใส เทคนิคลดน้ำหนัก ฯลฯ ซึ่งความสำคัญของการออกแบบคีย์เวิร์ดให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายค้นหาจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเจอเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ยิ่งคีย์เวิร์ดมีความเฉพาะเจาะลงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เจอกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายถึงการเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายจดจำเว็บไซต์และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการซื้อในอนาคตได้อีกด้วย 

เทคนิคหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

– วิเคราะห์คีย์เวิร์ดจากหลายปัจจัย

การเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ ไม่ได้ตัดสินใจจากคีย์เวิร์ดที่มียอดการค้นหามากที่สุดเท่านั้น เพราะต้องวิเคราะห์องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น อัตราการแข่งขัน ความยากง่ายของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ การเลือกใช้คีย์เวิร์ดใกล้เคียง เพื่อเพิ่มโอกาสการค้นเจอ ฯลฯ ดังนั้น การตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ดจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ รวมถึงต้องติดตามผลตอบรับเสมอว่าคีย์เวิร์ดที่ใช้ตอบโจทย์หรือไม่

– มีหลากหลายเครื่องมือเป็นตัวช่วย

ความได้เปรียบของการทำ SEO คือมีเครื่องมือมากมายเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ให้ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการเพิ่มขึ้น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดก็มีหลายเครื่องมือให้เลือกใช้เช่นกัน โดยนักการตลาดไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องมือเพียงชนิดเดียว เพราะการใช้หลายเครื่องมือจะช่วยทำให้มีไอเดียออกแบบคอนเทนต์ใหม่ ๆ และยังเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้คีย์เวิร์ดอีกด้วย

– ศึกษาจากคู่แข่ง

อีกหนึ่งวิธีเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ คือการติดตามความเคลื่อนไหวเว็บไซต์คู่แข่งเสมอว่าคู่แข่งทำคอนเทนต์สไตล์ใดหรือมีการเลือกใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้าง ซึ่งการศึกษาคู่แข่งจะช่วยให้เรียนรู้จุดแข็งและจุดอ่อนเว็บไซต์ตัวเอง จนเกิดเป็นการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อคีย์เวิร์ดมีความสำคัญในการทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์ของคุณอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังทำให้เกิดความเชื่อถือและอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการในอนาคต เพราะฉะนั้นนักการตลาดออนไลน์จึงควรศึกษาเครื่องมือแต่ละชนิดเพื่อการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้ข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพียงเท่านี้การทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์ของคุณก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เผยไต๋ Tiktok SEO Guide 2022

เผยไต๋ Tiktok SEO Guide 2022

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันการทำการตลาดด้วยคลิปวิดีโอย่อมได้รับความสนใจกว่าการเขียนบทความ เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ต้องเร่งรีบและแข่งขันกับเวลาทำให้การดูวิดีโอจึงรวดเร็วกว่าทำให้แอปพลิเคชั่น Tiktok ที่มีจุดเด่นในการสร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้นความยาว 15 วินาทีจึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

โดยในปี ค.ศ. 2021 แอพพลิเคชั่น Tiktok เริ่มให้ความสำคัญกับการตลาดที่ช่วยในการขยายธุรกิจของครีเอเตอร์มากยิ่งขึ้นและยังปรับเปลี่ยนให้มีการคัดกรองเนื้อหาคุณภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย ทำให้ SEO เข้ามามีบทบาทในแพลตฟอร์ม Tiktok มากขึ้น ซึ่งเทคนิคในการทำ Tiktok SEO มีวิธีการดังนี้

  • ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยแฮชแท็ก กระบวนการในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายบน Tiktok จะใช้ระบบเดียวกับ Instagram ต่างกันที่การใส่แฮชแท็กใน Tiktok จะมีการจำกัดคำ การเลือกแฮชแท็กมาใส่ในคำบรรยายคอนเทนต์จึงควรเป็นคำที่มีลักษณะเป็น Longtails Keyword (คำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจง) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
  • เพิ่มช่องทางในการติดต่อกับกลุ่มเป้าหมาย แม้ว่า Tiktok จะเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมและมีจำนวนสมาชิกเข้าใช้งานในแต่ละวันสูงแต่ก็เป็นแพลตฟอร์มที่มีข้อจำกัดเรื่องการสื่อสารระหว่างกลุ่มเป้าหมาย การเพิ่มช่องทางการติดต่ออื่น เช่น Website, Facebook หรือ Instagram ลง Tiktok Chanel จึงเป็นทางเลือกที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
  • อัปโหลดคลิปวิดีโอใหม่ ๆ อยู่เสมอ อัลกอริทึมของ TikTok ชอบให้ผู้ใช้ครีเอเตอร์หมั่นอัปโหลดคอนเทนต์ใหม่ ๆ ลงในแพลตฟอร์ม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ด้าน Tiktok SEO ผู้ใช้งานจึงควรจัดตารางการโพสต์วิดีโอคอนเทนต์สัปดาห์ละ 2 – 3 คอนเทนต์เป็นอย่างน้อย หรือหากเป็นไปได้ควรโพสต์วันละ 1 คอนเทนต์จะดีมาก
  • เพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงด้วยการ Collaborate ในแพลตฟอร์ม Tiktok มีฟังก์ชันการดูเอทกับครีเอทเตอร์อื่น ซึ่งฟังก์ชันนี้เป็นฟังก์ชันที่มีประโยชน์และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Tiktok SEO เป็นอย่างมาก หากผู้ใช้ใหม่ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ติดตามควรหมั่นโพสต์คลิปดูเอทกับครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากเข้าไว้
  • Organic Content คือที่หนึ่ง อัลกอลิทึม Tiktok ชื่นชอบการสร้างสรรค์วิดีโอใหม่ ๆ ที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ครีเอทเตอร์ที่ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ติดตามจึงควรคิดคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์และมีการนำเสนอในรูปแบบของตัวเอง
  • เลือกใช้เพลงที่เป็นกระแส หนึ่งในทริกสำคัญที่ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ หรือกลุ่มเป้าหมายใหม่ควรเลือกเพลงที่เป็นกระแสเข้าไว้ ซึ่งวิธีสังเกตเพลงฮิตที่กำลังเป็นกระแสง่าย ๆ คือ การเข้าแอปพลิเคชั่นติ๊กต๊อกและดูว่าเพลงไหนผ่านหูบ่อย เพลงนั้นก็คือเพลงที่กำลังเป็นกระแสนั้นเอง

ในอนาคต Tiktok อาจเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้เข้าใช้งานเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก การหมั่นอัปเดตเทรนด์ SEO และการตลาดที่เหมาะสมจะช่วยดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายในแพลตฟอร์มนี้ได้

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้ Facebook

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้ Facebook

เราเชื่อว่าหลายคนเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เปิดหน้าเพจใน Facebook สำหรับประชาสัมพันธ์และโปรโมทการขายสินค้าต่าง ๆ ทั้งของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้าสินค้าแฟชั่น อุปกรณ์ไอที ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการเปิดเพจบน Facebook ทำได้ฟรีและง่าย จึงมีคนทำร้านค้าเปิดใหม่มากมาย การทำ SEO ให้กับ Facebook จึงเป็นเทคนิคสำคัญที่ทำให้มีผู้ติดตามและยอดขายสูงขึ้นได้ ซึ่งสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ใน Facebook มีดังนี้

1.การตั้งชื่อเพจ
ควรมี keyword ที่สำคัญอยู่ในนั้น โดยไม่ควรเป็น keyword ที่กว้างเกินไป อย่างเช่น คุณขายรองเท้ากีฬา อุปกรณ์ไอที โทรศัพท์ ฯลฯ ก็ควรใส่แบรนด์ลงไปด้วย เช่น Apple Samsung Vivo Nike Adidas ยิ่งระบุลงไปได้ละเอียดเท่าไร จะเพิ่มโอกาสที่จะผู้คนจะสืบค้นเจอเพจของคุณมากขึ้นเท่านั้น

2.ต้องตั้ง Alternative text ให้แก่รูปภาพ
Alt Text เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำอันดับ SEO ใน Facebook เช่นกัน เพราะรูปเป็นตัวช่วยในการสืบค้นเพจของคุณให้เจอง่ายขึ้น เช่น คุณทำขนมเบเกอรี่ขาย ควรตั้งค่า Alt text เป็นชนิดของขนม เช่น บราวนี่ คุกกี้เนยสด เค้กญี่ปุ่น เป็นต้น หรือทำธุรกิจเต็นท์รถ ก็ควรใส่แบรนด์และรุ่นรถด้วย

3.ใส่ H1 h2 ของบทความ
H1 h2 คือ หัวข้อหลักและหัวข้อรอง ที่คนทำเว็บไซต์รู้จักกันดีว่าจะต้องมีทำให้ระบบ algorithm ของ Google เก็บข้อมูลเพื่อจัดอันดับได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับ Facebook ที่ต้องมี H1 h2 เสมอ จะทำให้เพจของคุณจะมีโอกาสถูกนำเสนอได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ลดความจำเป็นในการยิงโฆษณาใน Facebook ลงได้

4.ความยาวของบทความ
Facebook เป็นแหล่งรวมตัวของผู้อ่านที่ชอบความกระชับสั้น บทความจึงไม่ควรยาวเกิน 300 คำ เมื่อรู้พฤติกรรมของผู้อ่านแล้ว จะนำไปสู่การเขียนบทความที่ใส่เนื้อหากำลังพอดี อาจใส่แคปชั่นหรือแฮชแท็กช่วยให้มีลูกเล่น และกระตุ้นให้คลิกเข้าไปอ่านเพิ่ม

5.ต้องรู้ธรรมชาติของ Facebook และ Google
Facebook กับ Google ถือว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจออนไลน์ แม้เราจะทำ SEO ได้ดีเพียงใดใน Facebook แต่โอกาสที่จะถูกสืบค้นเจอผ่าน Google ก็มีน้อย จุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป หากลูกค้าของคุณคือคนไทยซึ่งมีปริมาณการใช้ Facebook สูงมากตลอดปี คุณก็สามารถทำตามระบบ SEO ที่กล่าวไป จะเพิ่มผู้ติดตามและยอดขายได้แน่นอน

การเรียนรู้ระบบของ SEO ใน Facebook มีบางอย่างที่คล้ายกันกับ Google แต่ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มด้านพฤติกรรมการใช้งาน แนวบทความที่คนชอบอ่าน เทคนิคการใส่แคปชั่น ฯลฯ จึงจะทำให้คุณสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการตั้งเพจ คือ มียอดผู้ติดตามและมียอดการขายสินค้ามากขึ้น

สายคอนเทนต์ห้ามพลาด 3 เครื่องมือสำคัญสำหรับนักทำคอนเทนต์ SEO

สายคอนเทนต์ห้ามพลาด 3 เครื่องมือสำคัญสำหรับนักทำคอนเทนต์ SEO

แม้ว่าการทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือการออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้ก้าวสู่หน้าแรกของ Search Engine จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับดี ๆ แต่ถึงอย่างนั้นต้องยอมรับเลยว่า “คอนเทนต์” คือหัวใจสำคัญและมีส่วนอย่างยิ่งในการผลักดันให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก และสำหรับใครที่เป็นสายคอนเทนต์ การมีตัวช่วยเพื่อการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งคงดีไม่น้อย เพราะฉะนั้นลองมาดูกันว่ามีเครื่องมือใดบ้างที่สายคอนเทนต์ควรหามาติดตั้งหรือดาวน์โหลดมาใช้งาน เพื่อการทำคอนเทนต์ให้ปังและมีโอกาสได้คะแนนจาก Search Engine มากยิ่งขึ้น

  1. Google Trends
    เครื่องมือจาก Google ที่เชื่อว่านักการตลาดออนไลน์น่าจะรู้จักเป็นอย่างดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครที่อาจคิดไม่ออกว่าจะเขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย เพราะเครื่องมือนี้คือตัวช่วยติดตามเทรนด์อย่างสมชื่อ สามารถใช้ค้นหาได้ว่าแต่ละเดือน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละวัน มีเทรนด์การค้นหาเรื่องใดบ้าง รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูลแบ่งตามพื้นที่อยู่อาศัยได้อีกด้วย ซึ่งสายคอนเทนต์สามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ต่อยอดการคิดคอนเทนต์ได้
  2. Google Keyword Planner
    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในกลุ่มนักการตลาดออนไลน์ว่าคีย์เวิร์ดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นหลังจากได้ไอเดียการเขียนคอนเทนต์แล้วก็ได้เวลาค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ เพื่อการสร้างคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถกดค้นหาคีย์เวิร์ดที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้น ๆ เพื่อพิจารณาว่าคีย์เวิร์ดใดได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อการวางแผนทำคอนเทนต์อย่างแม่นยำและเพิ่มโอกาสไต่อันดับในหน้าแรกของการค้นหา
  3. Yoast’s Real-time Content Analysis
    อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญอันเป็นตัวช่วยสำหรับสายทำคอนเทนต์ มีให้เลือกทั้งแบบใช้งานฟรีและแบบมีค่าใช้จ่ายเพื่อการใช้งานแบบเทพ ๆ จุดเด่นคือเป็นตัวช่วยวิเคราะห์คอนเทนต์ เพื่อให้วางแผนหรือปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ได้อย่างทันท่วงที แสดงผลแบบเรียลไทม์เป็นสีต่าง ๆ ตามสีสัญญาณไฟ จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใจสายทำคอนเทนต์เป็นอย่างยิ่ง รับรองว่าหากมีติดเครื่องต้องได้ใช้งานเป็นประจำอย่างแน่นอน

3 เครื่องมือที่หยิบมาแนะนำนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสายคอนเทนต์ที่ต้องการตัวช่วยในการผลิตคอนเทนต์ให้ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยผลักดันให้เว็บไซต์มีโอกาสติดหน้าแรกการค้นหา และนอกจากการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งแล้ว อย่าลืมว่าการทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบเว็บไซต์ให้อ่านง่าย การทำลิงก์ภายในและภายนอกเว็บไซต์ การแสดงผลแบบ Mobile Friendly การตั้งชื่อภาพประกอบ ฯลฯ นอกจากนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นยังจำเป็นต้องทำการตลาดวิธีอื่นร่วมด้วย เพื่อผลลัพธ์การทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

SEO คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร ทำไมจึงต้องทำ

SEO คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร ทำไมจึงต้องทำ

ในยุคที่อะไร ๆ ก็ต้องรวดเร็วและตามโลกแห่งเทคโนโลยีให้ทัน ถือเป็นความท้าทายของธุรกิจที่ว่าจะทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าหรือบริการของเราได้อย่างไร ไม่ก็สินค้าหรือบริการของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการข้อใดของลูกค้าได้บ้าง เหล่านี้หากจะส่งข้อมูลข่าวสารให้ถึงมือผู้บริโภคในยุคดิจิตอลได้เร็วที่สุดคือการต้องทำหน้าเว็บไซต์หรือเพจของร้านค้าออนไลน์ของเราปรากฎสู่สายตาของผู้บริโภคให้ได้ เครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือการทำ SEO เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับแรกๆ ของการค้นหาในกูเกิ้ล (Google) วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความสำคัญของ SEO กัน รวมถึงเหตุผลที่ธุรกิจจำเป็นจะต้องใช้ SEO เพื่อการสร้างรายได้ด้วย

SEO หรือ Search Engine Optimization คือการทำการตลาดดิจิตอลซึ่งจะทำให้หน้าเว็บไซต์ หรือเพจร้านค้าของสินค้าและบริการขึ้นไปอยู่บนหน้าแรกของการค้นหาใน Google เพราะทุกวันนี้เวลาใครจะซื้อจะหาอะไร หรือต้องการรู้ข้อมูลใดก็หนีไม่พ้นการเข้าไปค้นหาข้อมูลใน Google ดังนั้น ถ้าธุรกิจต้องการสื่อสารแบรนด์ของสินค้าหรือบริการไปสู่มือของผู้บริโภคซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกให้ได้ จึงจำเป็นต้องทำให้ผู้บริโภคได้เห็นข้อมูลเว็บไซต์หรือเพจร้านค้าของเราอยู่บนหน้าคำตอบจากการค้นหาของ Google ซึ่งเทคนิคในการทำ SEO มีดังนี้

1.กำหนดคีย์เวิร์ด (Keyword) คือการกำหนดคำค้นหาของสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจควรเน้นคำที่มีจำนวนการค้นหาบ่อยๆ เพราะถ้ากำหนดคำได้ดี หน้าเว็บไซต์หรือเพจร้านของเราก็จะมีโอกาสถูกค้นหาเจอได้มากขึ้น เทคนิคของการกำหนดคีย์เวิร์ดคือกำหนดคำค้นหาซึ่งเป็นคำตอบที่ผู้บริโภคอยากรู้ เป็นคำง่าย ๆ ที่ใช้บ่อย ๆ บนหน้าค้นหา หรือไม่ก็เป็นคำค้นหาที่บอกถึงทางแก้ไขปัญหาหรือความต้องการของผู้บริโภค

2.ผลิตคอนเทนต์ (Content) ที่เป็นประโยชน์และมีคุณภาพ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เมื่อผู้บริโภคค้นหาหน้าสินค้าหรือบริการของเราเจอแล้วยังสามารถบริโภคข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์หรือเพจร้านของเราต่อไปได้ก็เพราะเนื้อหาหรือข้อมูลที่ปรากฎต่อสายตามีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาจึงสามารถใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลสินค้าหรือบริการของเราต่อ ความหมายก็คือเพียงแค่กำหนดคีย์เวิร์ดที่ผู้บริโภคค้นเจอเว็บไซต์ของเราจนเจออย่างเดียวไม่ได้ เนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่แสดงอยู่ในหน้าเว็บไซต์นั้นยังต้องตอบโจทย์หรือตอบคำถามและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ด้วย เทคนิคคือหน้าเว็บไซต์ต้องไม่ใช่มีแต่ข้อมูลยาว ๆ แต่ควรมีภาพประกอบหรือบทความที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคด้วย

3.สร้างการเชื่อมโยงของลิงค์ (Link) สินค้าหรือบริการ คือการมีพันธมิตรที่สามารถนำลิงค์สินค้าหรือบริการของเราไปเชื่อมโยงด้วยได้ เช่น ร้านค้าของเราซึ่งขายเครื่องสำอางสามารถหาพันธมิตรร้านค้าประเภทผลิตภัณฑ์เสริมความงามเพื่อนำลิงค์ร้านค้าของเราไปร่วมลงได้ จะทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเห็นเว็บไซต์หรือเพจร้านของเรามากขึ้น

สรุปก็คือ ธุรกิจอยู่ได้ด้วยการมีลูกค้าหรือผู้บริโภคที่รู้จักและมีส่วนในการสนับสนุนซื้อสินค้าหรือบริการของเรา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ SEO เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้บริโภคได้รู้จัก หรือรับรู้ถึงตัวตนของแบรนด์สินค้าหรือบริการของเราให้ได้

ทำไม SEO ถึงสำคัญต่อการดันเว็บไซต์ติดอันดับสูงใน Google

ทำไม SEO ถึงสำคัญต่อการดันเว็บไซต์ติดอันดับสูงใน Google

ทำไม SEO (Search Engine Optimization) จึงสำคัญ หลายคนสงสัยและต้องการค้นหาคำตอบว่า SEO เป็นหัวใจสำคัญของการตลาดออนไลน์จริงหรือไม่ การผลิตเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อผู้อ่านเป็นวิธีหนึ่งในการสนับสนุนแบรนด์ให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง ส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหาของ Google ซึ่งแสดงให้เห็นว่า SEO มีความสำคัญ โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีเงินทุนมากในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมว่าเหตุผลเป็นเพราะอะไรกันแน่

1.ดึงดูดการเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น
เป้าหมายหลักของการทำ SEO คือดึงดูดผู้ชมเข้ามาเยี่ยมเว็บไซต์ ยิ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้มาเป็นลูกค้าด้วยแล้ว เข้าชมมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นเท่านั้น การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ จึงเป็นเหตุผลแรกและชัดเจนที่สุดของการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ บนเครื่องมือการค้นหาของ Google ผู้คนที่กำลังค้นหาสินค้าและบริการจะพบเว็บไซต์ของคุณก่อน คลิกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมากกว่าโฆษณาโปรโมทหรือการบอกต่อผ่านโซเชียลมีเดีย ผู้อ่านจึงเกิดความรู้สึกประทับใจ กลายเป็นผู้สนับสนุนและติดตามด้วยความเต็มใจ แวะเวียนกลับมาเข้าชมเว็บไซต์ต่อเนื่องในระยะยาว

2.สร้างความน่าเชื่อถือ
การสร้างเว็บไซต์ให้เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือนั้น ไม่ได้ทำสำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลาและความพยายามในการทำ SEO ให้ติดอันดับสูง หัวใจสำคัญอยู่ที่การเขียนและเผยแพร่บทความที่น่าอ่าน น่าเชื่อถือ ประกอบกับการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระเบียบและให้ประสบการณ์การใช้งานโดยรวมที่ดีขึ้น วิธีนี้จะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักกันดี สร้างความน่าเชื่อถือและได้รับความนิยมในระยะเวลาอันสั้น

3.ให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน
การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหาไม่ใช่แค่การเขียนเนื้อหาน่าอ่าน ใส่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นระบบ ใช้งานง่าย ค้นหาข้อมูลสะดวกรวดเร็ว รองรับการใช้งานบนมือถือทำให้อ่านข้อมูลง่าย ซึ่งเป็นการมอบประสบการณ์ที่ดีและความพึงพอใจแก่ผู้ใช้งาน เมื่อเข้ามาแล้วได้พบกับสิ่งที่ต้องการ ผู้ชมจึงใช้เวลาอยู่ในเว็บนั้นนาน ๆ รวมถึงกลับเข้ามาใช้งานเว็บนั้นซ้ำ ๆ อีก โครงสร้างเว็บไซต์มีลิงก์เชื่อมโยงบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันทั้งเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้งานพอใจ จะมีผลดีโดยตรงกับเว็บไซต์ เพราะว่าผู้ใช้มักจะใช้เวลาในเว็บไซต์นานขึ้นซึ่งมีผลต่อการประเมินและจัดอันดับใน Google ให้อยู่ในหน้าแรกได้ในที่สุด

4.ปรับปรุงคุณภาพสม่ำเสมอ
ขอแนะนำให้ทำ SEO อย่างต่อเนื่องเพราะ Google จัดอันดับเว็บไซต์ด้วยชุดอัลกอริทึมขั้นสูง การจัดอันดับเว็บไซต์จึงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้เขียนบทความและบล็อกควรอัปเดตเนื้อหาบทความให้ทันสมัย เพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ และเพิ่มลิงก์บทความหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมด สังเกตว่าผู้เข้าชมคลิกเข้ามาแล้วไม่ได้ออกจากหน้าเว็บนั้นไปทันที แต่ยังคลิกไปชมหน้าเพจอื่น ๆ ต่อด้วย แสดงว่าเว็บมีคุณภาพ ซึ่งลักษณะนี้ก็จะส่งผลให้ได้คะแนนจาก Google ด้วยเช่นกัน

เทคนิคขายของออนไลน์ให้ปัง! ด้วย SEO

เทคนิคขายของออนไลน์ให้ปัง! ด้วย SEO

ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างฝืดเคืองทำให้หลายคนหาทางออกด้วยการหารายได้เสริมจากการขายของออนไลน์ เพราะเป็นอาชีพเสริมที่สามารถเริ่มต้นที่ใช้เงินลงทุนน้อยและไม่ต้องเสียค่าทำเล โดยแหล่งขายของออนไลน์ (E-commerce) ที่ได้รับความนิยมมีมากมายทั้ง Facebook Fanpage, Lazada, Shopee ฯลฯ แต่เมื่อมือใหม่ลงมือขายใน E-commerce กลับไม่สามารถสร้างรายได้จากการขายของได้อย่างที่คิด เนื่องจากขาดความรู้ในการทำ SEO (Search Engine Optimization) เครื่องมือที่ช่วยในการแสดงผลบน Search engine เช่น Google, Bing หรือ Yahoo และ E-commerce ซึ่งเทคนิคการทำ SEO เพิ่มยอดขายบน Market Place มีดังนี้

  1. ตั้งชื่อสินค้าด้วย Niche Long-tail Keywords โดยวิธีตรวจหาคำที่มีคนค้นหามากนั้น สามารถเช็กได้จากโปรแกรม Keyword Research ที่มีให้บริการทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย เช่น KWfinder, Ubersuggest, Keywordtool หรือ Keyword planer เป็นต้น โดยใส่เป็นชื่อสินค้าหรือประเภทสินค้าเพื่อเช็กปริมาณการค้นหาว่ามีจำนวนที่มีคนค้นหามาก – น้อย ต่อเดือน โดยเลือกคำที่มีจำนวนคนค้นหาเยอะที่สุดและนำมาเติมด้วยคำที่มีความเฉพาะเจาะจงเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการโดยตรง เช่น ต้องการเปิดร้านขายรองเท้ากีฬา โดยใช้คีย์เวิร์ด ”รองเท้ากีฬา” มาทำให้มีความเฉพาะเจาะจงด้วยการเพิ่มคำเป็น “รองเท้ากีฬา ชาย ยี่ห้อ Nike” เป็นต้น และต้องมีคีย์เวิร์ดสำรองเพื่อสร้างความแข็งแรงและเพิ่มปริมาณการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใกล้เคียง โดยหน้ารายละเอียดแต่ละสินค้าควรมีคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองรวมกันอย่างน้อย 3 – 4 คำ
  1. แทรก Niche Long-tail Keywords ในคำอธิบายสินค้า การเขียนคำอธิบายสินค้าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าทราบถึงรายละเอียดของสินค้าประกอบไปด้วย ขนาด จำนวน ปริมาณ ฯลฯ ซึ่งมือใหม่ไม่ทราบว่าในการเขียนคำอธิบายสินค้าควรแทรก Niche Long-tail Keywords ลงไปด้วย โดยลักษณะการเขียนคำอธิบายสินค้าที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจควรเขียนอธิบายถึงจุดเด่นสินค้า โปรโมชัน หรือบริการพิเศษด้วยภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายด้วยความยาวประมาณ 300 คำ
  1. รูปภาพที่นำมาใช้ต้องตั้งชื่อไฟล์ด้วย Niche Long-tail Keywords การทำรูปภาพให้มีความสวยงามน่าสนใจ พร้อมเขียนโปรโมชันหรือบริการพิเศษ เช่น การรับประกันสินค้า, บริการจัดส่งฟรี หรือลดราคาพิเศษ ฯลฯ ต่างเป็นสิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้มากขึ้น และการตั้งชื่อไฟล์ภาพที่นำมาใช้ในการโพสต์ขายสินค้าบนโลกออนไลน์ให้มีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วยและเป็นภาษาอังกฤษ จะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงสินค้าให้ลูกค้ามองเห็นในหน้าผลการค้นหาแบบรูปภาพได้มากกว่า ทำให้การตั้งชื่อไฟล์ภาพด้วย Niche Long-tail Keywords เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ทั้งนี้หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการขายสินค้าควบคู่ไปกับเทคนิคการทำ SEO บน E-commerce การเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงสินค้าด้วยวิธีซื้อพื้นที่โฆษณาบน E-commerce นั้น ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว 

การขายสินค้าหลาย ๆ ชิ้น จำเป็นต้องทำ SEO ให้กับแต่ละหน้าสินค้าชนิดนั้น ๆ ต้องอาศัยการค้นคว้าและลงมือทำอย่างอดทน ซึ่งจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแน่นอน

เครื่องมือช่วยหา keyword SEO ที่ควรรู้

เครื่องมือช่วยหา keyword SEO ที่ควรรู้

การทำ SEO เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับเว็บไซต์ออนไลน์ในยุคปัจจุบัน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กว้างขึ้น เพิ่มยอดการขายสินค้าและบริการ ที่สำคัญ คือ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักได้อย่างยั่งยืน ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการหาคีย์เวิร์ด SEO เพื่อผลิตบทความบนเว็บไซต์ เรามาดูกันว่ามีเครื่องมือใดบ้างที่ช่วยในการหา keyword SEO

1.Google keyword planner
เป็นเครื่องมือหา keyword ที่คนทั่วโลกนิยมใช้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการโฆษณาด้วย Google Ads จะทำให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายนิยมหาร้านค้าหรือข้อมูลจากเว็บไซต์จาก keyword ว่าอะไรบ้าง หากอยากรู้ให้เข้าไปที่ tool and setting และเลือก keyword planner ก็จะเห็น keyword ที่น่าสนใจแสดงออกมามากมาย

2.Google Trends
Google Trends เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ฟรี มีจุดเด่นที่สามารถเลือกได้ว่าจะระบุพื้นที่การสืบค้นของคนที่อยู่ในภูมิภาคใด และเป็นสามารถดูผลย้อนหลังการสืบค้นได้ถึง 5 ปี คุณสามารถเปรียบเทียบได้ว่าช่วงเดือนใด ๆ ของแต่ละปี มีการค้นหาด้วยคำใดมากกว่ากันอีกด้วย ที่ขาดไม่ได้คือ สามารถแสดงเป็นตัวเลขเทียบให้ดูได้ว่าคีย์เวิร์ดใดได้รับความนิยมในลูกค้าเป้าหมายกลุ่มเดียวกันได้มากกว่ากันด้วย

3.Keyword Tool.io
Keyword Tool.io เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการทำคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงเจาะ ต้องการเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อโอกาสในการขายสินค้ามากขึ้น เพราะมีการวิจัยว่า keyword แบบเจาะจง หรือ long Tail keyword เป็นเทคนิคที่สำคัญในการเขียนบทความ เพื่อกระตุ้นให้มีการซื้อสินค้าได้มากที่สุด เช่น ใช้คำว่า “เสื้อสูทผู้ชายแบรนด์ Arrow” เป็นคีย์เวิร์ดแบบยาว จะเข้าถึงลูกค้าที่กำลังมองหาซื้อเสื้อสูทยี่ห้อนี้ได้ดีกว่าการใช้ keyword ว่า “เสื้อสูท” เป็นต้น

4.Moz : Keyword Difficulty Tool
ใช้ค้นหา keyword ที่ให้รายละเอียดสูงมาก โดยจะมีการแสดงตัวเลขให้ได้ชมว่าหากจะเลือกใช้ keyword คำนั้น ๆ จะมีอัตราการแข่งขันสูงมากน้อยเพียงใด ผ่านทางค่า Difficulty Score และมีการค้นหามากน้อยเพียงใดผ่านทาง Volume score แต่โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่ต้องชำระเงิน แต่มีความคุ้มค่าหากเป็นธุรกิจออนไลน์ขนาดกลางและใหญ่

5.Accuranker
Accuranker เป็นโปรแกรมที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน แต่เป็นที่นิยมมากในกลุ่มคนที่ทำธุรกิจออนไลน์เพื่อขายสินค้าระหว่างประเทศ และต้องการพัฒนา SEO เพื่อให้ตอบโจทย์การค้นหาในกลุ่มลูกค้าหลายภูมิภาค เช่น เอเชีย สหรัฐ จีน ยุโรป ฯลฯ โปรแกรมนี้จะทำงานได้เป็นอย่างดีร่วมกับโปรแกรมฟรีแบบอื่น ๆ ของ Google

เครื่องมือในการหา keyword SEO มีมากมาย ทั้งแบบฟรีและแบบเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้ทำเว็บไซต์ออนไลน์จำเป็นต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าด้วย ที่สำคัญ ต้องทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีทั้งด้านยอดขายและยอดชมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลโดยรวมทำให้ธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

รู้หรือไม่ การทำ SEO สำคัญต่อธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างไร

รู้หรือไม่ การทำ SEO สำคัญต่อธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างไร

ธุรกิจสตาร์ทอัพกำลังมาแรงและเป็นที่จับตามองในยุคนี้ การเติบโตแบบก้าวกระโดดจำเป็นต้องทำ SEO เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น ประโยชน์ของการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหาทำให้ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ทั้งต้นทุนต่ำและทำกำไรได้อย่างดีด้วย ถามว่าการทำ SEO สำคัญกับธุรกิจสตาร์ทอัพมากน้อยแค่ไหน อธิบายว่าได้ว่าถ้าทำให้เว็บไซต์ติดอับดับผลลัพธ์การค้นหาอันดับต้น ๆ ในหน้าแรกของ Google ไม่เพียงสร้างความโดดเด่นให้ลูกค้าเป้าหมายเห็นก่อนแบรนด์คู่แข่งเท่านั้น ยังทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจเกิดใหม่มีความน่าเชื่อถือ ยิ่งเป็นการโปรโมทให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักแพร่หลายรวดเร็วมากขึ้น

สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก สิ่งแรกที่ต้องคำนึงในการจัดทำเนื้อหาบทความคือข้อมูลที่ถูกต้องและมีคุณภาพสูงเพื่อเป็นช่องทางโฆษณาสินค้าและบริการให้ข้อมูลอย่างละเอียดและเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าในอนาคต ไม่เพียงแข่งขันกับธุรกิจขนาดเล็กรายอื่น ๆ ได้เท่านั้น ถ้ามีการโพสต์เนื้อหามีคุณภาพต่อเนื่อง ก็ได้รับความชื่นชมอย่างมากจนยกระดับเทียบรุ่นกับธุรกิจขนาดกลางก็เป็นได้ กลยุทธ์ SEO จึงคุ้มค่าสำหรับสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กทั้งในด้านเพิ่มการเข้าชมและเพิ่มยอดขาย ถึงตอนนี้คงต้องการทราบกันแล้วว่า หากจะทำ SEO สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพให้มีประสิทธิภาพและจัดอันดับเว็บไซต์ให้ดีขึ้น ต้องทำอย่างไร

1.อันดับแรกเริ่มสร้างแบ็กลิงก์คุณภาพสูงให้ชี้กลับมาที่เว็บไซต์เพื่อให้เว็บไซต์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ Google พิจารณาว่าเว็บไซต์นั้นเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพเช่นเดียวกัน และช่วยจัดอันดับเว็บไซต์ธุรกิจสตาร์ทอัพให้ได้รับอันดับสูงขึ้น

2.ผลกระทบของโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูงมากต่อการโฆษณาธุรกิจสตาร์ทอัพด้วยการแชร์เนื้อหาบนช่องทางโซเชียลมีเดีย การทำ SEO จะเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์และช่วยให้กำหนดเป้าหมายไปจูงใจลูกค้าที่ต้องการบนโซเชียลมีเดียได้ง่ายขึ้นด้วย หากจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นและบ่อยขึ้น เว็บไซต์จะขึ้นไปปรากฏในอันดับต้น ๆ ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งหมายความว่าจะเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายด้วย

3.อัปเดตบล็อกสม่ำเสมอ ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดการทำ SEO ที่มีคุณภาพดีสำหรับบริษัทเกิดใหม่และธุรกิจขนาดเล็ก เนื้อหาบทความที่อัปเดตต้องสดใหม่ทันสมัยและมีประโยชน์ สิ่งสำคัญคือการใช้คีย์เวิร์ดแบบสั้นและยาว และแท็กหัวข้อต่าง ๆ รวมทั้งรูปภาพ ใช้คำอธิบายความที่กระชับและชัดเจน รวมถึงใช้คีย์เวิร์ดหลักสร้างความเชื่อมโยงภายในบล็อก เรียกว่างัดกลยุทธ์การทำ SEO มาใช้ทั้งหมด รวมถึงการทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายและโหลดไว มีเนื้อหาที่น่าอ่าน ทำให้เว็บไซต์เข้าถึงผู้ชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นและอยู่ในเว็บนานขึ้น

กลยุทธ์ SEO เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพในการดึงดูดลูกค้ามายังเว็บไซต์ เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google ได้ ลูกค้าเป้าหมายจะค้นพบเว็บได้ทันที เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน ลูกค้าเห็นก่อนย่อมมีโอกาสขายได้ก่อน

3 เทรนด์ SEO มาแรงปี 2020

3 เทรนด์ SEO มาแรงปี 2020

เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุค Digital Marketing หรือการตลาดดิจิทัลอย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าระบบดิจิทัลและเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ค ต่างเริ่มมีอิทธิพลต่อการทำงานและชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น เพื่อให้ชีวิตและธุรกิจเดินหน้าไปต่ออย่างทันยุคทันสมัย เราควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 3 เทรนด์ SEO การตลาดบนโลกออนไลน์ ซึ่งกำลังมาแรงในปี 2020 นี้คืออะไร และมีวิธีเข้าถึงได้อย่างไร

1.Featured Snippets ในยุคที่การทำธุรกิจออนไลน์มีการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเป็นทวีคูณ แทบจะทุกเพจต้องปรับตัวทำการไลฟ์สด ลดกระหน่ำ จนลูกค้าเลื่อนดูตามแทบไม่ทัน แถมด้วยการทำSEO ในแบบใหม่ ๆ ซึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปีนี้นั้นคือการเพิ่ม SEO ให้เว็บไซต์นั้นดูดีด้วย Featured Snippets (ฟีเจอร์สนิปเพท) เจ้าFeatured Snippets ที่ว่านี้คือ กรอบสี่เหลี่ยมที่แสดงให้เห็นหลังจากที่เราพิมพ์คำค้นหาเรื่องราวต่าง ๆ ที่สนใจลงไปใน Google และคำตอบเหล่านั้นเองที่ Google ได้ทำการประมวลผลจากข้อมูลโดยเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีผู้อ่านเป็นจำนวนมาก โดย Featured Snippet จะแสดงผลอย่างรวดเร็วต่อคำถามที่เราค้นหาว่า สิ่งนี้คืออะไร มีความหมายว่าอะไร หรือทำอย่างไร ทำให้ Featured Snippet ได้รับความนิยมสูง เพราะช่วยให้การเติบโตของเว็บไซต์ทำได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการโปรโมท ซึ่งมีหลักการดังนี้

  • เขียนบทความที่แสดงถึงคำตอบและสรุปเนื้อหาได้อย่างชัดเจนภายในย่อหน้าแรก
  • จัดโครงสร้างของเว็บไซต์ โดยการใส่ Headline เรียงลำดับโครงสร้าง เพื่อให้ Google ทำการค้นหาได้ง่ายและเข้าไปดึงข้อมูลจากเว็บไซต์เพื่อนำมาแสดงผลได้ถูกต้อง
  • จัดโครงสร้างเนื้อหาอย่างมีลำดับขั้นตอน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการนำไปใช้เป็น Featured Snippets

2.Voice Search ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบ AI ของ Google เพื่อช่วยให้เข้าถึงภาษาต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจากสถิติข้อมูลการใช้งานพบว่า ในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้บริการ Voice Search เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการเขียนเนื้อหาหรือ Content ในรูปแบบการสร้างบทสนทนา ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เว็บไซต์ถูกดึงข้อมูลไปใช้ และมีการค้นคว้าเชื่อมโยงกับเว็บไซต์มากขึ้น

3.WebP คือไฟล์ภาพที่ Google พัฒนาขึ้น เพื่อนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ของแอนดรอยด์และ Google ข้อดีของไฟล์สกุล WebP คือขนาดภาพที่เล็กกว่าไฟล์ชนิดอื่น ๆ มีคุณภาพเทียบกับสกุล JPEG แต่มีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่า PNG สามารถทำภาพ Animation แบบ GIF ได้ แต่พิเศษกว่าตรงที่มีจำนวนสีมากถึง 24 bit ซึ่งช่วยให้ WebP มีสีสันเสมือนจริงทั้ง ๆ ที่มีขนาดไฟล์เล็กมาก คุณสมบัตินี้จึงช่วยให้สามารถโหลดเนื้อหาและรูปภาพหรือวิดีโอประกอบเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว

ในโลกของการตลาดยุคดิจิทัล เพียงเราเปิดกว้างพร้อมเรียนรู้วิทยาการความก้าวหน้าใหม่ ๆ เราก็จะสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของเทรนด์ SEO ใหม่ ๆ ที่กำลังมาแรง เพื่อประโยชน์ในการทำการตลาดแบบดิจิทัลให้ทันกระแสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น