เขียนบทความอย่างไรให้ดีต่อ SEO

เขียนบทความอย่างไรให้ดีต่อ SEO

เว็บไซต์เปรียบได้กับร้านค้า การที่เรามีร้านค้าอยู่ในทำเลที่มีผู้คนเดินผ่านหรือเป็นทำเลที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้มากขึ้น แต่สำหรับเว็บไซต์นั้นการที่จะทำให้คนรู้จัก จะต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า traffic นำผู้คนมายังเว็บไซต์ จึงจะทำให้เรามีโอกาสในการทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ

การสร้าง traffic นั้น มีทั้งแบบที่เสียเงินเพื่อการลงโฆษณาและแบบไม่เสียเงิน การเขียนบทความเพื่อส่งเสริม SEO ถือเป็นเทคนิคที่นักการตลาดออนไลน์นิยมใช้ เพราะเป็นวิธีการที่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อซื้อโฆษณาในการโปรโมทเว็บไซต์หรือสินค้า การทำ SEO จึงมีความสำคัญและช่วยให้ประหยัดต้นทุนในระยะยาว

เทคนิคการเขียนบทความ

ในการเขียนบทความเพื่อหวังผลด้าน SEO นั้น จำเป็นที่จะต้องรู้หลักการสำคัญและเทคนิค การเขียนบทความโดยไม่มีกลยุทธ์ จะทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย และนี่คือ 4 เทคนิคการเขียนบทความที่จะทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จ

เลือกหัวข้อที่จะเขียน : เราต้องเลือกหัวข้อที่จะเขียนให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและธุรกิจที่เราทำ ควรศึกษาว่ากลุ่มเป้าหมายของเราพูดคุยกันในโลกออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องอะไรที่สามารถโยงเข้ามาสู่ธุรกิจของเราได้ หรือเรื่องราวใดกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้าง จากนั้นเราก็เขียนบทความให้ตรงกับความสนใจของผู้คนกลุ่มนั้น ๆ

คีย์เวิร์ดคือสิ่งสำคัญ : การเลือกคีย์เวิร์ดถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้คนเข้ามาพบเจอกับเว็บไซต์ของเรา การเลือกคีย์เวิร์ดนั้นจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดใดมีผู้ค้นหามากน้อยเพียงใด การเลือกคีย์เวิร์ดที่มีผู้ค้นหามากก็จะทำให้มีผู้คนเข้าถึงเนื้อหาบทความของเราได้มากเช่นกัน

การเขียนบทความให้น่าสนใจ : การเขียนบทความถือเป็นเรื่องของความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล เราต้องเขียนบทความให้มีความน่าสนใจ มีเนื้อหาที่สามารถแก้ข้อสงสัยหรือปัญหาของผู้อ่านได้ หรือให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน จะทำให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อถือในเว็บไซต์ของเรา และมีโอกาสในการเสนอขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น

กระจายคีย์เวิร์ดในบทความให้เหมาะสม : การเลือกคีย์เวิร์ดนั้น ควรเลือกให้มากกว่า 1 คีย์เวิร์ดต่อบทความ และแทรกคีย์เวิร์ดนั้นไปยังส่วนต่าง ๆ ของบทความ เช่น ชื่อบทความอาจจะแทรกคีย์เวิร์ดหลักลงไป ส่วนคีย์เวิร์ดรองอาจจะแทรกไว้ในเนื้อหา และไม่ใส่น้อยเกินไปหรือมากจนเกินไป การใส่คีย์เวิร์ดน้อยเกินไปจะทำให้ระบบไม่ทราบว่าบทความของเราเกี่ยวข้องกับเรื่องใด หรือถ้าหากใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไป ระบบก็จะมองว่าเราจงใจสแปมคีย์เวิร์ดและจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของบทความเรา ซึ่งส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ของเราต่อไป

การที่เราต้องให้ความสำคัญกับการเขียนบทความให้ถูกหลัก SEO เพราะว่าการทำให้บทความของเราติดในหน้าแรกของการค้นหา จะส่งผลให้มีผู้คนเข้ามาสู่เว็บไซต์ของเราเป็นจำนวนมาก โอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจออนไลน์ก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

seo 2022

อัปเดตก่อนรู้ก่อน ! แนวทางการทำอันดับอย่างยั่งยืนในปี 2022

Search Engine Optimization คือ เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีผลต่อการแสดงคอนเทนต์บนหน้าแรกของ Search Engine โดยประโยชน์ในการทำ SEO นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำ Google Ads ยังทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือและช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์มากขึ้น ในปี ค.ศ. 2022 Google ได้พัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้นจึงมีการพัฒนาพื้นฐานในการทำ SEO ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น

3 แนวทางขั้นตอนในการทำ Google SEO

  1. วิเคราะห์ Keyword (คำค้นหา) ที่นำมาใช้: แม้ว่า Google จะมีการพัฒนาให้สามารถเข้าใจใน Content ที่คนทำเว็บไซต์ต้องการจะสื่อมากขึ้น แต่ยังคงให้ความสำคัญกับ Keyword หรือ คำค้นหา เนื่องจากเป็นสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการหาข้อมูลที่ตัวเองต้องการ ซึ่งเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์และเลือกคำค้นหาที่ดีที่สุดประกอบด้วย
    • Keyword Research Tools: เครื่องมือที่ช่วยหาคำค้นหาใกล้เคียง บอกปริมาณของการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้นและระดับความยาก – ง่าย ในการนำคีย์เวิร์ดนั้นไปทำ Content
    • Google Trend: เครื่องมือที่ช่วยอัพเดตคำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหา
    • Google Search: การนำ Keyword ที่ต้องการทำให้ติดหน้าแรกไปค้นหาใน Google Search จะช่วยให้เราได้พบกับคีย์เวิร์ดใกล้เคียงที่ Google แนะนำ ซึ่งสามารถนำมาเพิ่มลงใน Content เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ
  2. ให้ความสำคัญกับ Search Intent: Google Search Intent เป็นเครื่องมือที่ Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ Content Creator สร้างสรรค์ Content ที่มีประสิทธิภาพ มีประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ประกอบด้วย
    • เหตุผลในการค้นหา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ 1. การค้นหาข้อมูลเพื่อใช้ในการคิด วิเคราะห์ หรือตัดสินใจ เช่น การค้นหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบคีย์หลัก บอลวันนี้ คีย์รอง โปรแกรมบอลคืนนี้, ดูความแข็งแรงของคีย์เวิร์ด การค้นหาส่วนผสมของสินค้า A หรือการค้นหาเส้นทางไปยังจุดหมายปลายทางทั้งบนโลกออนไลน์และออฟไลน์ เป็นต้น 2. การค้นหาข้อมูลเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น การค้นหาโปรโมชั่นสินค้า A, การหาราคาสินค้า หรือการค้นหาสถานที่จำหน่ายสินค้า เป็นต้น
    • รูปแบบของการแสดงผลบน Search Engine: การให้ความสำคัญกับรูปแบบการแสดงผลเป็นสิ่งที่ Google ต้องการมาก โดยวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้การแสดงผลเป็นไปในรูปแบบที่ Google ต้องการ คือ การนำ Keyword ไปลองค้นหาใน Google และดูลักษณะ/รูปแบบของเว็บไซต์ที่ติดอันดับบนหน้าแรก
  3. เรียบเรียงเนื้อหาให้เข้าใจง่าย: จุดประสงค์สำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine อันดับ 1 อย่าง Google คือ การสร้างสรรค์ Content ที่กลุ่มเป้าหมายอ่านหรือฟังแล้วเข้าใจง่ายเข้าไว้โดยไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหายาวหลายพันคำเพียงแต่ต้องมีความถูกต้อง ครบถ้วนและแทรกคีย์เวิร์ดในปริมาณที่เหมาะสม

เพียงให้ความสำคัญกับ 3 ขั้นตอนหลักเหล่านี้และนำไปพัฒนาคอนเทนต์ก็จะทำให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ได้ง่ายขึ้น

ข้อดีของกลยุทธ์การทำ SEO ที่ธุรกิจควรรู้

ข้อดีของกลยุทธ์การทำ SEO ที่ธุรกิจควรรู้

ทุกวันนี้กลยุทธ์การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization มีอิทธิพลสำคัญช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหาสินค้า บริการ หรือสิ่งที่ต้องการอย่างรวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ต ตอบโจทย์โดนใจทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ธุรกิจจำเป็นต้องรู้เรื่อง SEO เพื่ออาศัยวิธีการต่าง ๆ มาเป็นกลไกขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

การทำ SEO มีประโยชน์หลายด้าน ดังนี้

-การทำให้เว็บไซต์ขึ้นติดหน้าแรกของการค้นหาผ่าน Google มีผลดีทำให้ลูกค้าพบเว็บไซต์ของคุณก่อนคู่แข่ง กลยุทธ์ SEO เป็นวิธีการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายที่้กำลังมองหาสินค้าหรือบริการบนช่องทางออนไลน์ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยลดงบประมาณด้านโฆษณาลง นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลจากคำค้นของลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้สอดคล้องกับความคาดหวังของลูกค้า วิธีการทำ SEO จึงให้ลูกค้าเห็นเว็บไซต์ก่อนคู่แข่งจึงช่วยให้มีกำไรมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินที่ลงทุนไป

-การที่เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรก ๆ ของการค้นหาถือว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ หากทำได้จะส่งผลดีเพราะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ และยังมีโอกาสเข้าตาลูกค้าเป้าหมายก่อนคู่แข่งซึ่งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดเดียวกัน กลยุทธ์ SEO นับว่ามีส่วนช่วยโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีคนเข้าชมเว็บไซต์จำนวนมากทำให้มีโอกาสแนะนำธุรกิจให้ลูกค้าได้รู้จัก กลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจสินค้าหรือบริการของคุณเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอาจตัดสินใจง่ายขึ้นที่จะเข้ามาเป็นลูกค้ารายใหม่ เท่ากับว่ามีโอกาสเพิ่มยอดขายบนช่องทางออนไลน์ด้วยเช่นกัน

-การทำ SEO ไม่เพียงเพิ่มโอกาสการขายช่วยให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้นเท่านั้น แต่สามารถรั้งใจลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีก เกิดความภักดีต่อแบรนด์ พร้อมทั้งบอกต่อให้ลูกค้าใหม่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ยิ่งลูกค้าเก่าสนใจติดตามดูเว็บไซต์และบอกต่อเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายและเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น

-เว็บไซต์เป็นช่องทางเสนอขายสินค้าหรือบริการที่เปิดให้เข้าชมตลอดเวลา แต่ถ้าจะดีควรโพสต์ข้อความใหม่ๆ ในเวลาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ส่วนจะเป็นเวลาใดนั้นควรปรึกษานักพัฒนา SEO มืออาชีพที่รู้หลักการทำให้เว็บติดอันดับต้น ๆ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเวลาใดที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาดูข้อมูลในเว็บไซต์และวางแผนโพสต์ในเวลาเหมาะที่สุดทำให้ได้รับความสนใจอย่างเต็มที่

การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาในหน้าแรก ๆ ไม่ได้เน้นผลลัพธ์ด้านยอดขายเท่านั้น ยังเป็นการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ให้ดีขึ้นอีกด้วย เมื่อเข้าเว็บไซต์แล้วค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายและพบเจอได้เร็วทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้งานพึงพอใจและกลับมาใช้งานซ้ำอีก แม้จะขายไม่ได้ในครั้งแรกแต่มีโอกาสขายได้ในครั้งต่อไปซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว

รวมเทคนิคการหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

รวมเทคนิคการหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การทำคอนเทนต์ การเขียนคำอธิบาย การออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลอย่างเหมาะสมกับอุปกรณ์ การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ขาดไม่ได้คือการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนักการตลาดออนไลน์จึงให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ใช่ และสำหรับใครที่ต้องการออกแบบเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักด้วยการทำ SEO ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ ที่จะทำให้ได้คีย์เวิร์ดที่ใช่และตรงกลุ่มเป้าหมาย 

ความสำคัญของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO

ก่อนจะไปติดตามเทคนิคการค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ ลองมาดูความสำคัญของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO กันเสียก่อน โดยคีย์เวิร์ด คือ คำที่ผู้คนใช้ค้นหาเพื่อให้ได้ข้อมูลสินค้าและบริการที่ต้องการ เช่น ครีมหน้าใส เทคนิคลดน้ำหนัก ฯลฯ ซึ่งความสำคัญของการออกแบบคีย์เวิร์ดให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายค้นหาจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเจอเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ยิ่งคีย์เวิร์ดมีความเฉพาะเจาะลงมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เจอกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายถึงการเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายจดจำเว็บไซต์และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการซื้อในอนาคตได้อีกด้วย 

เทคนิคหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ในการทำ SEO

– วิเคราะห์คีย์เวิร์ดจากหลายปัจจัย

การเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ ไม่ได้ตัดสินใจจากคีย์เวิร์ดที่มียอดการค้นหามากที่สุดเท่านั้น เพราะต้องวิเคราะห์องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น อัตราการแข่งขัน ความยากง่ายของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ การเลือกใช้คีย์เวิร์ดใกล้เคียง เพื่อเพิ่มโอกาสการค้นเจอ ฯลฯ ดังนั้น การตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ดจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ รวมถึงต้องติดตามผลตอบรับเสมอว่าคีย์เวิร์ดที่ใช้ตอบโจทย์หรือไม่

– มีหลากหลายเครื่องมือเป็นตัวช่วย

ความได้เปรียบของการทำ SEO คือมีเครื่องมือมากมายเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ให้ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการเพิ่มขึ้น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดก็มีหลายเครื่องมือให้เลือกใช้เช่นกัน โดยนักการตลาดไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องมือเพียงชนิดเดียว เพราะการใช้หลายเครื่องมือจะช่วยทำให้มีไอเดียออกแบบคอนเทนต์ใหม่ ๆ และยังเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้คีย์เวิร์ดอีกด้วย

– ศึกษาจากคู่แข่ง

อีกหนึ่งวิธีเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ คือการติดตามความเคลื่อนไหวเว็บไซต์คู่แข่งเสมอว่าคู่แข่งทำคอนเทนต์สไตล์ใดหรือมีการเลือกใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้าง ซึ่งการศึกษาคู่แข่งจะช่วยให้เรียนรู้จุดแข็งและจุดอ่อนเว็บไซต์ตัวเอง จนเกิดเป็นการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อคีย์เวิร์ดมีความสำคัญในการทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์ของคุณอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังทำให้เกิดความเชื่อถือและอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการในอนาคต เพราะฉะนั้นนักการตลาดออนไลน์จึงควรศึกษาเครื่องมือแต่ละชนิดเพื่อการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้ข้อมูลอื่น ๆ ในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพียงเท่านี้การทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์ของคุณก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เผยไต๋ Tiktok SEO Guide 2022

เผยไต๋ Tiktok SEO Guide 2022

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันการทำการตลาดด้วยคลิปวิดีโอย่อมได้รับความสนใจกว่าการเขียนบทความ เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ต้องเร่งรีบและแข่งขันกับเวลาทำให้การดูวิดีโอจึงรวดเร็วกว่าทำให้แอปพลิเคชั่น Tiktok ที่มีจุดเด่นในการสร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้นความยาว 15 วินาทีจึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

โดยในปี ค.ศ. 2021 แอพพลิเคชั่น Tiktok เริ่มให้ความสำคัญกับการตลาดที่ช่วยในการขยายธุรกิจของครีเอเตอร์มากยิ่งขึ้นและยังปรับเปลี่ยนให้มีการคัดกรองเนื้อหาคุณภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย ทำให้ SEO เข้ามามีบทบาทในแพลตฟอร์ม Tiktok มากขึ้น ซึ่งเทคนิคในการทำ Tiktok SEO มีวิธีการดังนี้

  • ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยแฮชแท็ก กระบวนการในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายบน Tiktok จะใช้ระบบเดียวกับ Instagram ต่างกันที่การใส่แฮชแท็กใน Tiktok จะมีการจำกัดคำ การเลือกแฮชแท็กมาใส่ในคำบรรยายคอนเทนต์จึงควรเป็นคำที่มีลักษณะเป็น Longtails Keyword (คำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจง) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
  • เพิ่มช่องทางในการติดต่อกับกลุ่มเป้าหมาย แม้ว่า Tiktok จะเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมและมีจำนวนสมาชิกเข้าใช้งานในแต่ละวันสูงแต่ก็เป็นแพลตฟอร์มที่มีข้อจำกัดเรื่องการสื่อสารระหว่างกลุ่มเป้าหมาย การเพิ่มช่องทางการติดต่ออื่น เช่น Website, Facebook หรือ Instagram ลง Tiktok Chanel จึงเป็นทางเลือกที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
  • อัปโหลดคลิปวิดีโอใหม่ ๆ อยู่เสมอ อัลกอริทึมของ TikTok ชอบให้ผู้ใช้ครีเอเตอร์หมั่นอัปโหลดคอนเทนต์ใหม่ ๆ ลงในแพลตฟอร์ม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ด้าน Tiktok SEO ผู้ใช้งานจึงควรจัดตารางการโพสต์วิดีโอคอนเทนต์สัปดาห์ละ 2 – 3 คอนเทนต์เป็นอย่างน้อย หรือหากเป็นไปได้ควรโพสต์วันละ 1 คอนเทนต์จะดีมาก
  • เพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงด้วยการ Collaborate ในแพลตฟอร์ม Tiktok มีฟังก์ชันการดูเอทกับครีเอทเตอร์อื่น ซึ่งฟังก์ชันนี้เป็นฟังก์ชันที่มีประโยชน์และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Tiktok SEO เป็นอย่างมาก หากผู้ใช้ใหม่ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ติดตามควรหมั่นโพสต์คลิปดูเอทกับครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากเข้าไว้
  • Organic Content คือที่หนึ่ง อัลกอลิทึม Tiktok ชื่นชอบการสร้างสรรค์วิดีโอใหม่ ๆ ที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ครีเอทเตอร์ที่ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ติดตามจึงควรคิดคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์และมีการนำเสนอในรูปแบบของตัวเอง
  • เลือกใช้เพลงที่เป็นกระแส หนึ่งในทริกสำคัญที่ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ หรือกลุ่มเป้าหมายใหม่ควรเลือกเพลงที่เป็นกระแสเข้าไว้ ซึ่งวิธีสังเกตเพลงฮิตที่กำลังเป็นกระแสง่าย ๆ คือ การเข้าแอปพลิเคชั่นติ๊กต๊อกและดูว่าเพลงไหนผ่านหูบ่อย เพลงนั้นก็คือเพลงที่กำลังเป็นกระแสนั้นเอง

ในอนาคต Tiktok อาจเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้เข้าใช้งานเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก การหมั่นอัปเดตเทรนด์ SEO และการตลาดที่เหมาะสมจะช่วยดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายในแพลตฟอร์มนี้ได้

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้ Facebook

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้ Facebook

เราเชื่อว่าหลายคนเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เปิดหน้าเพจใน Facebook สำหรับประชาสัมพันธ์และโปรโมทการขายสินค้าต่าง ๆ ทั้งของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้าสินค้าแฟชั่น อุปกรณ์ไอที ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการเปิดเพจบน Facebook ทำได้ฟรีและง่าย จึงมีคนทำร้านค้าเปิดใหม่มากมาย การทำ SEO ให้กับ Facebook จึงเป็นเทคนิคสำคัญที่ทำให้มีผู้ติดตามและยอดขายสูงขึ้นได้ ซึ่งสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ใน Facebook มีดังนี้

1.การตั้งชื่อเพจ
ควรมี keyword ที่สำคัญอยู่ในนั้น โดยไม่ควรเป็น keyword ที่กว้างเกินไป อย่างเช่น คุณขายรองเท้ากีฬา อุปกรณ์ไอที โทรศัพท์ ฯลฯ ก็ควรใส่แบรนด์ลงไปด้วย เช่น Apple Samsung Vivo Nike Adidas ยิ่งระบุลงไปได้ละเอียดเท่าไร จะเพิ่มโอกาสที่จะผู้คนจะสืบค้นเจอเพจของคุณมากขึ้นเท่านั้น

2.ต้องตั้ง Alternative text ให้แก่รูปภาพ
Alt Text เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำอันดับ SEO ใน Facebook เช่นกัน เพราะรูปเป็นตัวช่วยในการสืบค้นเพจของคุณให้เจอง่ายขึ้น เช่น คุณทำขนมเบเกอรี่ขาย ควรตั้งค่า Alt text เป็นชนิดของขนม เช่น บราวนี่ คุกกี้เนยสด เค้กญี่ปุ่น เป็นต้น หรือทำธุรกิจเต็นท์รถ ก็ควรใส่แบรนด์และรุ่นรถด้วย

3.ใส่ H1 h2 ของบทความ
H1 h2 คือ หัวข้อหลักและหัวข้อรอง ที่คนทำเว็บไซต์รู้จักกันดีว่าจะต้องมีทำให้ระบบ algorithm ของ Google เก็บข้อมูลเพื่อจัดอันดับได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับ Facebook ที่ต้องมี H1 h2 เสมอ จะทำให้เพจของคุณจะมีโอกาสถูกนำเสนอได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ลดความจำเป็นในการยิงโฆษณาใน Facebook ลงได้

4.ความยาวของบทความ
Facebook เป็นแหล่งรวมตัวของผู้อ่านที่ชอบความกระชับสั้น บทความจึงไม่ควรยาวเกิน 300 คำ เมื่อรู้พฤติกรรมของผู้อ่านแล้ว จะนำไปสู่การเขียนบทความที่ใส่เนื้อหากำลังพอดี อาจใส่แคปชั่นหรือแฮชแท็กช่วยให้มีลูกเล่น และกระตุ้นให้คลิกเข้าไปอ่านเพิ่ม

5.ต้องรู้ธรรมชาติของ Facebook และ Google
Facebook กับ Google ถือว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจออนไลน์ แม้เราจะทำ SEO ได้ดีเพียงใดใน Facebook แต่โอกาสที่จะถูกสืบค้นเจอผ่าน Google ก็มีน้อย จุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป หากลูกค้าของคุณคือคนไทยซึ่งมีปริมาณการใช้ Facebook สูงมากตลอดปี คุณก็สามารถทำตามระบบ SEO ที่กล่าวไป จะเพิ่มผู้ติดตามและยอดขายได้แน่นอน

การเรียนรู้ระบบของ SEO ใน Facebook มีบางอย่างที่คล้ายกันกับ Google แต่ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มด้านพฤติกรรมการใช้งาน แนวบทความที่คนชอบอ่าน เทคนิคการใส่แคปชั่น ฯลฯ จึงจะทำให้คุณสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการตั้งเพจ คือ มียอดผู้ติดตามและมียอดการขายสินค้ามากขึ้น

สายคอนเทนต์ห้ามพลาด 3 เครื่องมือสำคัญสำหรับนักทำคอนเทนต์ SEO

สายคอนเทนต์ห้ามพลาด 3 เครื่องมือสำคัญสำหรับนักทำคอนเทนต์ SEO

แม้ว่าการทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือการออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้ก้าวสู่หน้าแรกของ Search Engine จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับดี ๆ แต่ถึงอย่างนั้นต้องยอมรับเลยว่า “คอนเทนต์” คือหัวใจสำคัญและมีส่วนอย่างยิ่งในการผลักดันให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก และสำหรับใครที่เป็นสายคอนเทนต์ การมีตัวช่วยเพื่อการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งคงดีไม่น้อย เพราะฉะนั้นลองมาดูกันว่ามีเครื่องมือใดบ้างที่สายคอนเทนต์ควรหามาติดตั้งหรือดาวน์โหลดมาใช้งาน เพื่อการทำคอนเทนต์ให้ปังและมีโอกาสได้คะแนนจาก Search Engine มากยิ่งขึ้น

  1. Google Trends
    เครื่องมือจาก Google ที่เชื่อว่านักการตลาดออนไลน์น่าจะรู้จักเป็นอย่างดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครที่อาจคิดไม่ออกว่าจะเขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย เพราะเครื่องมือนี้คือตัวช่วยติดตามเทรนด์อย่างสมชื่อ สามารถใช้ค้นหาได้ว่าแต่ละเดือน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละวัน มีเทรนด์การค้นหาเรื่องใดบ้าง รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูลแบ่งตามพื้นที่อยู่อาศัยได้อีกด้วย ซึ่งสายคอนเทนต์สามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ต่อยอดการคิดคอนเทนต์ได้
  2. Google Keyword Planner
    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในกลุ่มนักการตลาดออนไลน์ว่าคีย์เวิร์ดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นหลังจากได้ไอเดียการเขียนคอนเทนต์แล้วก็ได้เวลาค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ เพื่อการสร้างคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถกดค้นหาคีย์เวิร์ดที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้น ๆ เพื่อพิจารณาว่าคีย์เวิร์ดใดได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อการวางแผนทำคอนเทนต์อย่างแม่นยำและเพิ่มโอกาสไต่อันดับในหน้าแรกของการค้นหา
  3. Yoast’s Real-time Content Analysis
    อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญอันเป็นตัวช่วยสำหรับสายทำคอนเทนต์ มีให้เลือกทั้งแบบใช้งานฟรีและแบบมีค่าใช้จ่ายเพื่อการใช้งานแบบเทพ ๆ จุดเด่นคือเป็นตัวช่วยวิเคราะห์คอนเทนต์ เพื่อให้วางแผนหรือปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ได้อย่างทันท่วงที แสดงผลแบบเรียลไทม์เป็นสีต่าง ๆ ตามสีสัญญาณไฟ จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใจสายทำคอนเทนต์เป็นอย่างยิ่ง รับรองว่าหากมีติดเครื่องต้องได้ใช้งานเป็นประจำอย่างแน่นอน

3 เครื่องมือที่หยิบมาแนะนำนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสายคอนเทนต์ที่ต้องการตัวช่วยในการผลิตคอนเทนต์ให้ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยผลักดันให้เว็บไซต์มีโอกาสติดหน้าแรกการค้นหา และนอกจากการผลิตคอนเทนต์ให้แข็งแกร่งแล้ว อย่าลืมว่าการทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบเว็บไซต์ให้อ่านง่าย การทำลิงก์ภายในและภายนอกเว็บไซต์ การแสดงผลแบบ Mobile Friendly การตั้งชื่อภาพประกอบ ฯลฯ นอกจากนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นยังจำเป็นต้องทำการตลาดวิธีอื่นร่วมด้วย เพื่อผลลัพธ์การทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

SEO คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร ทำไมจึงต้องทำ

SEO คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร ทำไมจึงต้องทำ

ในยุคที่อะไร ๆ ก็ต้องรวดเร็วและตามโลกแห่งเทคโนโลยีให้ทัน ถือเป็นความท้าทายของธุรกิจที่ว่าจะทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าหรือบริการของเราได้อย่างไร ไม่ก็สินค้าหรือบริการของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการข้อใดของลูกค้าได้บ้าง เหล่านี้หากจะส่งข้อมูลข่าวสารให้ถึงมือผู้บริโภคในยุคดิจิตอลได้เร็วที่สุดคือการต้องทำหน้าเว็บไซต์หรือเพจของร้านค้าออนไลน์ของเราปรากฎสู่สายตาของผู้บริโภคให้ได้ เครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือการทำ SEO เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับแรกๆ ของการค้นหาในกูเกิ้ล (Google) วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความสำคัญของ SEO กัน รวมถึงเหตุผลที่ธุรกิจจำเป็นจะต้องใช้ SEO เพื่อการสร้างรายได้ด้วย

SEO หรือ Search Engine Optimization คือการทำการตลาดดิจิตอลซึ่งจะทำให้หน้าเว็บไซต์ หรือเพจร้านค้าของสินค้าและบริการขึ้นไปอยู่บนหน้าแรกของการค้นหาใน Google เพราะทุกวันนี้เวลาใครจะซื้อจะหาอะไร หรือต้องการรู้ข้อมูลใดก็หนีไม่พ้นการเข้าไปค้นหาข้อมูลใน Google ดังนั้น ถ้าธุรกิจต้องการสื่อสารแบรนด์ของสินค้าหรือบริการไปสู่มือของผู้บริโภคซึ่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกให้ได้ จึงจำเป็นต้องทำให้ผู้บริโภคได้เห็นข้อมูลเว็บไซต์หรือเพจร้านค้าของเราอยู่บนหน้าคำตอบจากการค้นหาของ Google ซึ่งเทคนิคในการทำ SEO มีดังนี้

1.กำหนดคีย์เวิร์ด (Keyword) คือการกำหนดคำค้นหาของสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจควรเน้นคำที่มีจำนวนการค้นหาบ่อยๆ เพราะถ้ากำหนดคำได้ดี หน้าเว็บไซต์หรือเพจร้านของเราก็จะมีโอกาสถูกค้นหาเจอได้มากขึ้น เทคนิคของการกำหนดคีย์เวิร์ดคือกำหนดคำค้นหาซึ่งเป็นคำตอบที่ผู้บริโภคอยากรู้ เป็นคำง่าย ๆ ที่ใช้บ่อย ๆ บนหน้าค้นหา หรือไม่ก็เป็นคำค้นหาที่บอกถึงทางแก้ไขปัญหาหรือความต้องการของผู้บริโภค

2.ผลิตคอนเทนต์ (Content) ที่เป็นประโยชน์และมีคุณภาพ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เมื่อผู้บริโภคค้นหาหน้าสินค้าหรือบริการของเราเจอแล้วยังสามารถบริโภคข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์หรือเพจร้านของเราต่อไปได้ก็เพราะเนื้อหาหรือข้อมูลที่ปรากฎต่อสายตามีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาจึงสามารถใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลสินค้าหรือบริการของเราต่อ ความหมายก็คือเพียงแค่กำหนดคีย์เวิร์ดที่ผู้บริโภคค้นเจอเว็บไซต์ของเราจนเจออย่างเดียวไม่ได้ เนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่แสดงอยู่ในหน้าเว็บไซต์นั้นยังต้องตอบโจทย์หรือตอบคำถามและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ด้วย เทคนิคคือหน้าเว็บไซต์ต้องไม่ใช่มีแต่ข้อมูลยาว ๆ แต่ควรมีภาพประกอบหรือบทความที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคด้วย

3.สร้างการเชื่อมโยงของลิงค์ (Link) สินค้าหรือบริการ คือการมีพันธมิตรที่สามารถนำลิงค์สินค้าหรือบริการของเราไปเชื่อมโยงด้วยได้ เช่น ร้านค้าของเราซึ่งขายเครื่องสำอางสามารถหาพันธมิตรร้านค้าประเภทผลิตภัณฑ์เสริมความงามเพื่อนำลิงค์ร้านค้าของเราไปร่วมลงได้ จะทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเห็นเว็บไซต์หรือเพจร้านของเรามากขึ้น

สรุปก็คือ ธุรกิจอยู่ได้ด้วยการมีลูกค้าหรือผู้บริโภคที่รู้จักและมีส่วนในการสนับสนุนซื้อสินค้าหรือบริการของเรา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ SEO เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้บริโภคได้รู้จัก หรือรับรู้ถึงตัวตนของแบรนด์สินค้าหรือบริการของเราให้ได้

ทำไม SEO ถึงสำคัญต่อการดันเว็บไซต์ติดอันดับสูงใน Google

ทำไม SEO ถึงสำคัญต่อการดันเว็บไซต์ติดอันดับสูงใน Google

ทำไม SEO (Search Engine Optimization) จึงสำคัญ หลายคนสงสัยและต้องการค้นหาคำตอบว่า SEO เป็นหัวใจสำคัญของการตลาดออนไลน์จริงหรือไม่ การผลิตเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อผู้อ่านเป็นวิธีหนึ่งในการสนับสนุนแบรนด์ให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง ส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหาของ Google ซึ่งแสดงให้เห็นว่า SEO มีความสำคัญ โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีเงินทุนมากในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมว่าเหตุผลเป็นเพราะอะไรกันแน่

1.ดึงดูดการเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น
เป้าหมายหลักของการทำ SEO คือดึงดูดผู้ชมเข้ามาเยี่ยมเว็บไซต์ ยิ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้มาเป็นลูกค้าด้วยแล้ว เข้าชมมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นเท่านั้น การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ จึงเป็นเหตุผลแรกและชัดเจนที่สุดของการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ บนเครื่องมือการค้นหาของ Google ผู้คนที่กำลังค้นหาสินค้าและบริการจะพบเว็บไซต์ของคุณก่อน คลิกเข้ามาอ่านคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมากกว่าโฆษณาโปรโมทหรือการบอกต่อผ่านโซเชียลมีเดีย ผู้อ่านจึงเกิดความรู้สึกประทับใจ กลายเป็นผู้สนับสนุนและติดตามด้วยความเต็มใจ แวะเวียนกลับมาเข้าชมเว็บไซต์ต่อเนื่องในระยะยาว

2.สร้างความน่าเชื่อถือ
การสร้างเว็บไซต์ให้เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือนั้น ไม่ได้ทำสำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลาและความพยายามในการทำ SEO ให้ติดอันดับสูง หัวใจสำคัญอยู่ที่การเขียนและเผยแพร่บทความที่น่าอ่าน น่าเชื่อถือ ประกอบกับการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระเบียบและให้ประสบการณ์การใช้งานโดยรวมที่ดีขึ้น วิธีนี้จะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักกันดี สร้างความน่าเชื่อถือและได้รับความนิยมในระยะเวลาอันสั้น

3.ให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน
การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหาไม่ใช่แค่การเขียนเนื้อหาน่าอ่าน ใส่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นระบบ ใช้งานง่าย ค้นหาข้อมูลสะดวกรวดเร็ว รองรับการใช้งานบนมือถือทำให้อ่านข้อมูลง่าย ซึ่งเป็นการมอบประสบการณ์ที่ดีและความพึงพอใจแก่ผู้ใช้งาน เมื่อเข้ามาแล้วได้พบกับสิ่งที่ต้องการ ผู้ชมจึงใช้เวลาอยู่ในเว็บนั้นนาน ๆ รวมถึงกลับเข้ามาใช้งานเว็บนั้นซ้ำ ๆ อีก โครงสร้างเว็บไซต์มีลิงก์เชื่อมโยงบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันทั้งเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้งานพอใจ จะมีผลดีโดยตรงกับเว็บไซต์ เพราะว่าผู้ใช้มักจะใช้เวลาในเว็บไซต์นานขึ้นซึ่งมีผลต่อการประเมินและจัดอันดับใน Google ให้อยู่ในหน้าแรกได้ในที่สุด

4.ปรับปรุงคุณภาพสม่ำเสมอ
ขอแนะนำให้ทำ SEO อย่างต่อเนื่องเพราะ Google จัดอันดับเว็บไซต์ด้วยชุดอัลกอริทึมขั้นสูง การจัดอันดับเว็บไซต์จึงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้เขียนบทความและบล็อกควรอัปเดตเนื้อหาบทความให้ทันสมัย เพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ และเพิ่มลิงก์บทความหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมด สังเกตว่าผู้เข้าชมคลิกเข้ามาแล้วไม่ได้ออกจากหน้าเว็บนั้นไปทันที แต่ยังคลิกไปชมหน้าเพจอื่น ๆ ต่อด้วย แสดงว่าเว็บมีคุณภาพ ซึ่งลักษณะนี้ก็จะส่งผลให้ได้คะแนนจาก Google ด้วยเช่นกัน

เทคนิคขายของออนไลน์ให้ปัง! ด้วย SEO

เทคนิคขายของออนไลน์ให้ปัง! ด้วย SEO

ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างฝืดเคืองทำให้หลายคนหาทางออกด้วยการหารายได้เสริมจากการขายของออนไลน์ เพราะเป็นอาชีพเสริมที่สามารถเริ่มต้นที่ใช้เงินลงทุนน้อยและไม่ต้องเสียค่าทำเล โดยแหล่งขายของออนไลน์ (E-commerce) ที่ได้รับความนิยมมีมากมายทั้ง Facebook Fanpage, Lazada, Shopee ฯลฯ แต่เมื่อมือใหม่ลงมือขายใน E-commerce กลับไม่สามารถสร้างรายได้จากการขายของได้อย่างที่คิด เนื่องจากขาดความรู้ในการทำ SEO (Search Engine Optimization) เครื่องมือที่ช่วยในการแสดงผลบน Search engine เช่น Google, Bing หรือ Yahoo และ E-commerce ซึ่งเทคนิคการทำ SEO เพิ่มยอดขายบน Market Place มีดังนี้

  1. ตั้งชื่อสินค้าด้วย Niche Long-tail Keywords โดยวิธีตรวจหาคำที่มีคนค้นหามากนั้น สามารถเช็กได้จากโปรแกรม Keyword Research ที่มีให้บริการทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย เช่น KWfinder, Ubersuggest, Keywordtool หรือ Keyword planer เป็นต้น โดยใส่เป็นชื่อสินค้าหรือประเภทสินค้าเพื่อเช็กปริมาณการค้นหาว่ามีจำนวนที่มีคนค้นหามาก – น้อย ต่อเดือน โดยเลือกคำที่มีจำนวนคนค้นหาเยอะที่สุดและนำมาเติมด้วยคำที่มีความเฉพาะเจาะจงเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการโดยตรง เช่น ต้องการเปิดร้านขายรองเท้ากีฬา โดยใช้คีย์เวิร์ด ”รองเท้ากีฬา” มาทำให้มีความเฉพาะเจาะจงด้วยการเพิ่มคำเป็น “รองเท้ากีฬา ชาย ยี่ห้อ Nike” เป็นต้น และต้องมีคีย์เวิร์ดสำรองเพื่อสร้างความแข็งแรงและเพิ่มปริมาณการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใกล้เคียง โดยหน้ารายละเอียดแต่ละสินค้าควรมีคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองรวมกันอย่างน้อย 3 – 4 คำ
  1. แทรก Niche Long-tail Keywords ในคำอธิบายสินค้า การเขียนคำอธิบายสินค้าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าทราบถึงรายละเอียดของสินค้าประกอบไปด้วย ขนาด จำนวน ปริมาณ ฯลฯ ซึ่งมือใหม่ไม่ทราบว่าในการเขียนคำอธิบายสินค้าควรแทรก Niche Long-tail Keywords ลงไปด้วย โดยลักษณะการเขียนคำอธิบายสินค้าที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจควรเขียนอธิบายถึงจุดเด่นสินค้า โปรโมชัน หรือบริการพิเศษด้วยภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายด้วยความยาวประมาณ 300 คำ
  1. รูปภาพที่นำมาใช้ต้องตั้งชื่อไฟล์ด้วย Niche Long-tail Keywords การทำรูปภาพให้มีความสวยงามน่าสนใจ พร้อมเขียนโปรโมชันหรือบริการพิเศษ เช่น การรับประกันสินค้า, บริการจัดส่งฟรี หรือลดราคาพิเศษ ฯลฯ ต่างเป็นสิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้มากขึ้น และการตั้งชื่อไฟล์ภาพที่นำมาใช้ในการโพสต์ขายสินค้าบนโลกออนไลน์ให้มีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วยและเป็นภาษาอังกฤษ จะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงสินค้าให้ลูกค้ามองเห็นในหน้าผลการค้นหาแบบรูปภาพได้มากกว่า ทำให้การตั้งชื่อไฟล์ภาพด้วย Niche Long-tail Keywords เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ทั้งนี้หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการขายสินค้าควบคู่ไปกับเทคนิคการทำ SEO บน E-commerce การเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงสินค้าด้วยวิธีซื้อพื้นที่โฆษณาบน E-commerce นั้น ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว 

การขายสินค้าหลาย ๆ ชิ้น จำเป็นต้องทำ SEO ให้กับแต่ละหน้าสินค้าชนิดนั้น ๆ ต้องอาศัยการค้นคว้าและลงมือทำอย่างอดทน ซึ่งจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแน่นอน